ขอลดหย่อนผ่อนหนี้ชั้นบังคับคดี

#ขอลดหย่อนผ่อนหนี้ชั้นบังคับคดี

มาตรการการยึดทรัพย์บังคับคดีกับทรัพย์สินของลูกหนี้ในชั้นบังคับคดี  ถือว่าเป็นขั้นตอนปลายทางแล้วที่เป็นทางออกสุดท้ายที่จะทำให้เจ้าหนี้ได้รับเงินชำระหนี้จากทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ทำการยึดหรืออายัดเพื่อนำเงินที่ได้มาชำระหนี้ตามคำพิพากษาที่ศาลได้ตัดสินมาแล้ว

ดังนั้น หากลูกหนี้คนใดที่ถูกเจ้าหนี้ดำเนินการในลักษณะดังกล่าวมีความประสงค์ที่จะผ่อนชำระหนี้ต่อไปนั้น  เป็นเรื่องที่ฝ่ายเจ้าหนี้จะต้องให้การยินยอมในเรื่องดังกล่าวนี้ก่อนเสมอ    ส่วนในทัศนะของทนายความเห็นว่า   การขอลดหย่อนผ่อนหนี้ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้นั้นสามารถทำได้ตลอดเวลาทุกขั้นตอน  ไม่ว่าคดีความดังกล่าวอยู่ในชั้นพิจารณาใดก็ตาม  เพราะหากลูกหนี้กับเจ้าหนี้สามารถพูดคุยกันได้  เรื่องทุกๆอย่างที่มีข้อพิพาทต่อกันก็ถือเป็นอันยุติได้โดยทันที

แต่ปัญหาในลักษณะดังกล่าวนี้  ต้องขึ้นอยู่กับว่าฝ่ายเจ้าหนี้ยอมรับเงื่อนไขกับที่ลูกหนี้ได้เสนอไปแล้วหรือไม่  ปกติในชั้นบังคับคดีเจ้าหนี้จะให้โอกาสลูกหนี้เพียงแค่การผลัดจ่ายหนี้ได้เพียงระยะเวลาสั้นๆเพียงเท่านั้น  อาจจะขอผ่อนชำระเป็นรายเดือนเหมือนในชั้นพิจารณาของศาล  ปกติเจ้าหนี้จะไม่ยอมรับเงื่อนไขนี้   เพราะหากรับเงื่อนไขนี้ได้ก็คงไม่จำเป็นที่จะต้องนำทรัพย์สินของลูกหนี้มายึดขายทอดตลาด

ปกติหากเจ้าหนี้ยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ได้แล้วในชั้นบังคับคดี   เมื่อเจ้าหนี้นำทรัพย์ออกขายทอดตลาดเจ้าหนี้ก็จะได้รับชำระหนี้เป็นแบบคราวเดียว  ได้เงินชำระหนี้เป็นก้อนเดียว  ฝ่ายเจ้าหนี้ก็จะได้ประโยชน์มากกว่าที่จะให้มีการผ่อนชำระเป็นคราวๆไป

 

#ปรึกษาเรา ” สยามอินเตอร์ลอว์ “สำนักงานกฎหมาย ทนายความ

📱Tel. 02-1217414, 091-0473382

https://line.me/ti/p/VMuEj01WUO

📍พิกัด ถนนบางนา-ตราด (ใกล้ห้างเมกะบางนา)

เปิดบริการ [จันทร์-ศุกร์] เวลา 09.00-17.00 น.

กฎหมายหน้ารู้

การไกล่เกลี่ยในชั้นศาล

การไกล่เกลี่ยในชั้นศาล

คำจำกัดความ “การไกล่เกลี่ยในชั้นศาล”

เป็นวิธีระงับข้อพิพาทรูปแบบหนึ่ง ซึ่งถือเป็นการระงับข้อพิพาททางเลือก (Alternative Dispute Resolution – ADR) โดยมีบุคคลที่สามซึ่งเป็นกลางในการทำหน้าที่ช่วยเหลือเสนอแนวทางออกร่วมกันที่คู่พิพาทจะยอมรับและพึงพอใจ    หากทั้งสองฝ่ายเห็นชอบด้วยกับข้อเสนอจะเข้าสู่การตกลงประนีประนอมยอมความกันโดยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันต่อศาล ซึ่งผูกพันให้คู่พิพาทต้องปฏิบัติตาม ไม่ใช่กรณีที่ผู้ตัดสินชี้ขาดในข้อพิพาท

ประเภทของการไกล่เกลี่ยมี 2 ประเภท

1.การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทนอกศาล : เป็นการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทก่อนมีการฟ้องร้องคดีต่อศาล ทำหลักฐานเป็นหนังสือเรียกว่า สัญญา ถ้าฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตาม อีกฝ่ายฟ้องร้องคดีให้ปฏิบัติตามได้

2.การไกล่เกลี่ยข้อพิพาทในศาล : เป็นการไกล่เกลี่ยข้อพิพาทเมื่อคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาล ศาลจะให้ผู้ประนีประนอมดำเนินการ หากคู่ความตกลงกันก็จะมีการถอนฟ้อง หรือทำสัญญาประนีประนอมยอม ซึ่งศาลจะทำคำพิพากษาตามตกลงกัน หรือหากตกลงกันได้บางส่วนก็จะสืบพยานในประเด็นที่ตกลงกับไม่ได้เท่านั้น ถ้าอีกฝ่ายไม่ปฏิบัติตามที่ประนีประนอมยอมความกันไว้ อีกฝ่ายสามารถบังคับคดีได้ทันที ไม่ต้องฟ้องร้องเป็นคดีใหม่

ผู้ประนีประนอมอาจจะเป็น ผู้พิพากษา ข้าราชการศาล บุคคลหรือคณะบุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ประนีประนอม เพื่อช่วยเหลือศาลในการไกล่เกลี่ยให้คู่พิพาทได้ประนีประนอมกัน

           เจตนารมณ์ของกฎหมาย การเกิดนิติสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นการเกิดโดยนิติกรรมหรือนิติเหตุย่อมทำให้เกิดข้อพิพาทกันได้เสมอ เมื่อมีข้อพิพาทก็ต้องมีวิธีการยุติข้อพิพาท ในกรณีที่ตกลงกันไม่ได้นั้น จำเป็นต้องใช้สิทธิทางศาล แน่นอนว่าการใช้สิทธิทางศาลนั้นต้องมีการตัดสินให้เกิดผลแพ้และชนะ ซึ่งอาจจะทำให้ความสัมพันธ์ทางสังคมนั้นเสียไป

กฎหมายเล็งเห็นความสำคัญในข้อนี้ จึงมีวิธีการยุติข้อพิพาทอีกวิธี คือ การประนีประนอมยอมความ ซึ่งทำให้ข้อพิพาทเดิมระงับไปและผูกพันตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โดยการประนีประนอมยอมความเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อคู่ความทั้งสองฝ่ายพึงพอใจยุติข้อพิพาทร่วมกัน ไม่มีฝ่ายใดเป็นฝ่ายแพ้ และไม่มีฝ่ายใดเป็นฝ่ายชนะ เป็นการรักษาความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันต่อไปได้ เป็นวิธีที่แก้ไขปัญหา ฟื้นฟูความสัมพันธ์ เยียวยาความเสียหาย

         ระเบียบและข้อบังคับในเรื่องการไกล่เกลี่ย

ประมวลวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 20 ตรี และพระราชบัญญัติไกล่เกลี่ยข้อพิพาท พ.ศ.๒๕๖๒

ท่านใดสงสัยในเรื่องการไกล่เกลี่ยคดีความที่มีข้อพิพาทต่อกันทั้งทางแพ่งและอาญา สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 02-1217414  , 091-0473382

กฎหมายหน้ารู้

สินทรัพย์บังคับคดีตามคำพิพากษา

สินทรัพย์บังคับคดีตามคำพิพากษา

สำหรับทรัพย์สินที่สามารถบังคับชำระหนี้ได้ตามกฎหมายในชั้นบังคับคดี ได้แก่

1.บ้าน   ที่ดิน   คอนโดมิเนียม

2.รถยนต์ รถจักรยานยนต์

3.ทรัพย์สินภายในบ้าน

4.ทรัพย์สินที่เป็นสินสมรส

5.เงินเก็บหรือเงินฝากในบัญชีธนาคารต่างๆ

6.เงินเดือนหรือโบนัสที่เกิดขึ้นจากการทำงานของลูกหนี้

7.สิทธิประโยชน์หรือเงินปันผลต่างๆที่เกิดขึ้นจากการเป็นหุ้นส่วนในบริษัทหรือนิติบุคคลต่างๆ

หากท่านใดมีข้อสงสัยในเรื่องดังกล่าวเพิ่มเติม  สามารถติดต่อหรือสอบถามข้อมูลดังกล่าวจากทนายความของเราได้ครับ  02-1217414 , 091-0473382

กฎหมายหน้ารู้

บังคับชำระหนี้ชั้นบังคับคดี

บังคับชำระหนี้ชั้นบังคับคดี

ปกติหากลูกหนี้ถูกฟ้องและศาลมีคำพิพากษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  ลูกหนี้มีหน้าที่ต้องนำเงินไปชำระให้แก่เจ้าหนี้ภายในกำหนดเวลา 30 วัน  นับแต่ทราบผลคำพิพากษาของศาลแล้ว   หากล่วงเลยระยะเวลาดังกล่าวไปแล้ว  ฝ่ายเจ้าหนี้ก็มีสิทธิ์ในการขอให้ศาลออกหมายยึดทรัพย์บังคับคดีกับลูกหนี้ได้   และฝ่ายเจ้าหนี้ก็มีสิทธิ์ในการยึดหรืออายัดทรัพย์สินของลูกหนี้นำมาบังคับชำระหนี้ได้

ในกรณีที่ล่วงเลยระยะเวลาดังกล่าวไปแล้ว  เจ้าหนี้ท่านใดที่ยังไม่ได้รับเงินชำระหนี้ดังกล่าวจากลูกหนี้แล้ว  ท่านสามารถเริ่มต้นจากการสืบหาทรัพย์สินที่สามารถยึด  หรืออายัดทรัพย์ของลูกหนี้ได้โดยทันที   แต่หากบางท่านไม่สะดวกหรือไม่มีความพร้อมหรือไม่ชำนาญในการสืบหาทรัพย์สินของลูกหนี้  ท่านก็สามารถทำการว่าจ้างสำนักงานกฎหมายที่ท่านรู้จักเพื่อทำการสืบหาทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องของลูกหนี้เพื่อนำมายึดทรัพย์  หรือนำมาอายัดบังคับชำระหนี้ให้แก่ฝ่ายเจ้าหนี้จนเป็นที่เรียบร้อยได้

สำหรับทรัพย์สินที่สามารถบังคับชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย ได้แก่

1.บ้าน   ที่ดิน   คอนโดมิเนียม

2.รถยนต์ รถจักรยานยนต์

3.ทรัพย์สินภายในบ้าน

4.ทรัพย์สินที่เป็นสินสมรส

5.เงินเก็บหรือเงินฝากในบัญชีธนาคารต่างๆ

6.เงินเดือนหรือโบนัสที่เกิดขึ้นจากการทำงานของลูกหนี้

7.สิทธิประโยชน์หรือเงินปันผลต่างๆที่เกิดขึ้นจากการเป็นหุ้นส่วนในบริษัทหรือนิติบุคคลต่างๆ

หากท่านใดมีข้อสงสัยในเรื่องดังกล่าวเพิ่มเติม  สามารถติดต่อหรือสอบถามข้อมูลดังกล่าวจากทนายความของเราได้ครับ  02-1217414 , 091-0473382

 

กฎหมายหน้ารู้

ทวงถามลูกหนี้

ทวงถามลูกหนี้

เมื่อพูดถึงลูกหนี้กับเจ้าหนี้แล้วนั้น 2 อย่างเป็นเรื่องที่ไม่สามารถแยกออกจากกันได้เลย   แม้นว่าสองฝ่ายได้มีข้อตกลงร่วมกันในเรื่องของการเป็นหนี้ตามสัญญาที่แตกต่างกันไปในแต่ละเรื่อง  เช่น  สัญญากู้ยืม  สัญญาว่าจ้าง  สัญญาเช่าซื้อ  หรือ หนังสือรับสภาพหนี้ต่างๆที่เกิดขึ้น

ท่านอาจสงสัยว่าหากลูกหนี้ผิดนัดแล้ว  ฝ่ายลูกหนี้ยังมีสิทธิ์ในการพูดคุยขอลดหย่อนผ่อนหนี้กับลูกหนี้ได้อีกหรือไม่นั้น   ในทัศนะของทนายความเห็นว่า  ในเรื่องดังกล่าวนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้  หากฝ่ายใดต้องการที่จะพูดคุยหรือไกล่เกลี่ยเพื่อชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นกับอีกฝ่ายนั้น   ฝ่ายลูกหนี้ก็สามารถติดต่อเข้าพบหรือหารือเพื่อเปลี่ยนแปลงรายละเอียดเงื่อนไขที่เคยมีต่อกันมาก่อน  เพื่อนำมาปรับปรุงโครงสร้างหนี้และกำหนดยอดชำระกันใหม่  โดยกำหนดข้อตกลงเงื่อนไขในการชำระหรือจ่ายเงินกันใหม่ได้ครับ  แต่ทั้งนี้เจ้าหนี้ต้องให้ความยินยอมด้วยนะครัย   แต่หากเจ้าหนี้ไม่ให้การยินยอมก็ต้องว่ากล่าวไปตามข้อตกลงเงื่อนไขที่อยู่ในสัญญาเดิมทั้งสิ้น

ท่านใดมีข้อสงสัยหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมในเรื่องดังกล่าว  ท่านสามารถปรึกษากับทนายความได้ตลอดครับ 02-0473382 ,02-1217414

กฎหมายหน้ารู้

คดีอาญา

คดีอาญา

โทษในคดีอาญา  ได้แก่ โทษปรับ  การยึดทรัพย์สิน  กักขัง  จำคุก  รวมทั้งโทษประหารชีวิต

ตัวอย่างในคดีอาญา

คดีลักทรัพย์   คดีบุกรุก  คดียักยอกทรัพย์   หมิ่นประมาท  รับของโจร  ทำร้ายร่างกาย  ประมาททำให้ผู้อื่นบาดเจ็บหรือเสียชีวิต   หรือคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด

การฟ้องคดีอาญาทำได้ 2 วิธีด้วยกัน

1.แจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนที่อยู่ในเขตพื้นที่ๆเกิดเหตุให้ดำเนินคดีเอาผิดกับคู่กรณีที่ก่อให้เกิดความเสียหาย   สำหรับวิธีการนี้เมื่อตำรวจรับเรื่องแจ้งความจากผู้เสียหายแล้ว  ตำรวจมีหน้าที่ทำการสอบสวนผู้เสียหายก่อน   และหากพนักงานสอบสวนเห็นว่ามีหลักฐานเพียงพอก็ให้มีหมายเรียกคู่กรณีเพื่อมารับทราบข้อกล่าวหาและทำการสอบสวนคู่กรณีก่อน  เสร็จแล้วพนักงานสอบสวนสรุปสำนวนส่งเรื่องให้อัยการเพื่อสั่งฟ้องคดีไปที่ศาล เพื่อให้พิจารณาและลงโทษเอาผิดกับคู่กรณีในเรื่องนั้นได้

2.การว่าจ้างทนายความฟ้องคดี   แนวทางนี้เป็นแนวทางที่กรณีหากผู้เสียหายมีความประสงค์ที่จะให้ทนายความ     ดำเนินการยื่นฟ้องคดีไปที่ศาลโดยตรง   เป็นวิธีการที่ทำให้คดีเกิดความรวดเร็วในการที่เอาผิดกับคู่กรณีได้  โดยขั้นตอนนี้ไม่ต้องผ่านกระบวนการแจ้งความร้องทุกข์กับตำรวจ  ไม่ต้องผ่านสำนักงานอัยการเพื่อพิจารณาเรื่องราวที่เกิดขึ้น   แต่ฝ่ายผู้เสียหายสามารถนำเรื่องยื่นฟ้องตรงไปที่ศาลได้ทันทีโดยผ่านการดำเนินการของทนายความ  ซึ่งแนวทางนี้ก่อให้เกิดความสะดวกและรวดเร็ว  และส่งผลให้สามารถเอาผิดกับฝ่ายคู่กรณีตามกฎหมายได้โดยทันที  รวมทั้งอาจจะส่งผลให้ผู้เสียหายได้รับการชดใช้เงินค่าเสียหายได้จากคู่กรณีฝ่ายที่ก่อให้เกิดความเสียหายได้เร็วขึ้น

 

รับงานว่าความคดีแพ่ง คดีอาญา

สอบถามงานกฎหมาย  091-0473382

กฎหมายหน้ารู้

ข้อยกเว้นความรับผิดในข้อหา ” หมิ่นประมาท “

ตามที่ทราบกันมาว่า  หากผู้ใดพูดใส่ความผู้อื่นเพื่อให้เกิดความเสียหายโดยมีเจตนาที่จะทำให้บุคคลอื่นเสื่อมเสียต่อชื่อเสียง  ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง  บุคคลนั้นถือว่าได้กระทำความผิดในข้อกล่าวหาหมิ่นประมาทแล้ว   ซึ่งในเรื่องดังกล่าวมีข้อยกเว้นตามในของข้อกฎหมายว่า  ผู้ใดที่ได้กระทำดังกล่าวไม่ผิดตามข้อกล่าวหาได้   จะต้องเข้าหลักเกณฑ์  ” ข้อยกเว้น ” ดังต่อไปนี้ https://www.highlandstheatre.com/

มาตรา 329 ผู้ใดแสดงความคิดเห็นหรือข้อความใดโดยสุจริต

(1)  เพื่อความชอบธรรม ป้องกันตนหรือป้องกันส่วนได้เสียที่เกี่ยวกับตนตามคลองธรรม

(2) ในฐานะเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติการตามหน้าที่

(3) ติชมด้วยความเป็นธรรม  ซึ่งบุคคลหรือสิ่งใดอันเป็นวิสัยของประชาชนย่อมกระทำ

(4) ในการแจ้งข่าวด้วยความเป็นธรรมเรื่องการดำเนินการอันเปิดเผยในศาลหรือในการประชุมผู้นั้นไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท https://www.funpizza.net/

ดังนั้น ด้วยเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าวข้างต้น บางครั้งคนที่ได้กล่าวข้อความดังกล่าวในเรื่องของการหมิ่นประมาท  ก็มิได้เป็นความผิดตามกฎหมายเสมอไป  ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวต้องคำนึงถึงข้อยกเว้นของกฎหมายในเรื่องนี้ด้วย   ซึ่งหากการพูดคุยดังกล่าวเป็นเรื่องที่ได้ประโยชน์ของคนส่วนใหญ่  หรือเป็นการกระทำการเพื่อเป็นการป้องกันตนเองตามข้อกฎหมายดังกล่าวข้างต้นโดยสุจริตแล้ว   ถือว่าการกระทำดังกล่าวไม่เป็นความผิดตามกฎหมายในเรื่องนี้อย่างแน่นอน

กฎหมายหน้ารู้

การหมิ่นประมาท

เจตนารมณ์ของกฎหมายว่าด้วยการหมิ่นประมาทนั้นเป็นการมุ่งคุ้มครองผู้ที่ได้รับความเสียหาย เสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นถูกเกลียดจังแม้การใส่ความบางอย่างเป็นความจริงหรืออาจจะเป็นสิ่งที่ไม่จริงก็อาจจะเป็นความผิดตามกฎหมายนี้ได้   หากผู้พูดหรือผู้แสดงข้อความดังกล่าวมีเจตนาที่จะทำให้คู่ความอีกฝ่ายเสื่อมเสียต่อชื่อเสียงและมีเจตนาที่จะทำให้คนอื่นถูกดูหมิ่นดูแคลนหรือเกลียดชังจากข้อความที่ตนเองกล่าวถึงนั้น

ข้อกฎหมายในเรื่องนี้

มาตรา 326 ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม  โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง  ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง  ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวังโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี  หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 328 ถ้าความผิดฐานหมิ่นประมาทได้กระทำโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร  ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ ภาพหรือตัวอักษรที่ทำให้ปรากฏไม่ว่าด้วยวิธีใดๆ  แผ่นเสียง หรือสิ่งบันทึกเสียง  บันทึกภาพ หรือบันทึกตัวอักษร  กระทำโดยการกระจายเสียง หรือการกระจายภาพ หรือโดยกระทำการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น  ผู้กระทำต้องระวังโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปีและปรับไม่เกิน 200,000 บาท

ถึงอย่างไรก็ดีหากผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องการหมิ่นประมาทนั้น   เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเรื่องของการหมิ่นประมาทเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความเสียหายต่อชื่อเสียง  เกียรติยศและศักดิ์ศรีของผู้ที่ถูกกล่าวหา  รวมถึงอาจจะเกี่ยวข้องกับความเสียหายที่เกิดขึ้นในการทำมาค้าขายของคู่ความที่เกี่ยวข้องได้   ซึ่งผู้ที่ได้รับความเดือดร้อนในเรื่องดังกล่าวนี้สมควรได้รับคำแนะนำจากทนายความในเรื่องนี้ก่อน ซึ่งเป็นช่องทางที่จะทำให้ท่านสามารถทำให้ปัญหาดังกล่าวเกิดการคลี่คลายได้อย่างดี

กฎหมายหน้ารู้

ความแตกต่างระหว่างการฝากเงินกับการฝากทรัพย์อย่างอื่น

ความแตกต่างระหว่างการฝากเงินและฝากทรัพย์อย่างอื่นมีดังต่อไปนี้

1. การฝากเงิน  ผู้รับฝากมีหน้าที่คืนจำนวนเงินที่ฝากให้แก่ผู้ฝาก  ไม่ใช่เงินเดิมที่ฝาก  แต่หากเป็นการฝากทรัพย์อย่างอื่น  ผู้รับฝากมีหน้าที่คืนทรัพย์สินที่ฝากให้แก่ผู้ฝากไม่ใช่ทรัพย์สินอื่นๆ

2. การฝากเงิน ผู้รับฝากเงินเป็นเจ้าของเงินที่ผู้ฝากเอามาฝาก  เพราะในเรื่องฝากเงินนั้นกรรมสิทธิ์ในเงินที่ฝากโอนมาเป็นของผู้รับฝาก  จึงมีสิทธิ์นำเงินซึ่งตนและฝากไว้นั้นไปใช้ได้    ส่วนการฝากทรัพย์อย่างอื่น  ผู้รับฝากไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินที่ฝาก  จึงไม่มีอำนาจนำทรัพย์สินซึ่งตนรับฝากไว้นั้นไปใช้สอยเพื่อประโยชน์ส่วนตัวได้

3. ผู้รับฝากเงิน ต้องรับผิดชอบชดใช้ถ้าเงินนั้นสูญหายไป  แม้โดยเหตุสุดวิสัยก็ตาม   ส่วนการฝากทรัพย์สินอย่างอื่นนั้น  ผู้รับฝากไม่ต้องรับผิดชอบถ้าตัวทรัพย์สินซึ่งฝากไว้นั้นสูญหายหรือบุบสลายไปโดยเหตุสุดวิสัยและไม่ใช่ความผิดของผู้รับฝาก

4. การฝากเงิน  มีกำหนดเวลาส่งคืน  ผู้ฝากจะเรียกให้ส่งเงินคืนก่อนกำหนดเวลาไม่ได้  และผู้รับฝากเงินก็ต้องส่งคืนก่อนกำหนดก็ไม่ได้เช่นเดียวกัน   ส่วนการฝากทรัพย์สินอย่างอื่นนั้น  การฝากทรัพย์สินเงินที่มีกำหนดเวลาส่งคืน  ผู้ฝากจะเรียกคืนทรัพย์สินของเขาคืนก่อนกำหนดได้  หรือผู้รับฝากก็มีสิทธิ์ส่งทรัพย์สินซึ่งรับรองไว้คืนก่อนกำหนดได้  ถ้ามีเหตุจำเป็นอันไม่อาจเข้าร่วมได้

กฎหมายหน้ารู้

เงินหายจากบัญชี การรับฝากเงินธนาคาร

ธนาคารถือเป็นผู้ให้บริการทางด้านการเงิน  มีหน้าที่ในการรับฝากเงิน  ดูแลเงินของลูกค้า  รวมทั้งมีหน้าที่บริหารจัดการเงินและนำไปลงทุนหรือบริหารเพื่อก่อให้เกิดรายได้จากเงินฝากของลูกค้า    หากกรณีเงินของลูกค้าหายออกไปจากบัญชี   ธนาคารถือเป็นผู้เสียหาย  และธนาคารต้องรับผิดชอบในการคืนเงินตามสัญญาฝากเงินให้แก่ลูกค้าตามที่เงินของลูกค้าได้หายออกไปจากบัญชี    ดังนั้นสำหรับหน้าที่และบทบาทของธนาคารเกี่ยวกับเรื่องนี้ ธนาคารถือเป็นผู้ให้บริการทางด้านการเงินที่ต้องหาวิธีการในการป้องกันเพื่อมีให้ทรัพย์สินของลูกค้าหรือตัวเงินที่นำฝากไว้ไม่ให้เกิดการสูญหาย  รวมทั้งมีหน้าที่ในการป้องกันการโจรกรรมต่างๆที่มี  ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สูงสุดในการรักษาทรัพย์ที่เป็นตัวเงินให้แก่ลูกค้าให้จงได้

ข้อกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องนี้

มาตรา 657  ได้บัญญัติไว้เอาไว้ว่า  อันว่าฝากทรัพย์นั้นคือสัญญาซึ่งบุคคลหนึ่งเรียกว่า  ผู้ฝาก  ส่งมอบทรัพย์สินให้แก่บุคคลอีกคนหนึ่งเรียกว่า  ผู้รับฝาก  และผู้รับฝากตกลงว่าจะเก็บรักษาทรัพย์สินนั้นไว้ในอารักขาแห่งตนแล้วจะคืนให้

มาตรา 659 วรรคท้าย  ถ้าผู้รับฝากเป็นผู้มีวิชาชีพเฉพาะกิจการค้าขาย  หรืออาชีวะอย่างหนึ่งอย่างใด  ก็จำเป็นต้องใช้ความระมัดระวังหรือใช้ฝีมือเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้และสมควรจะต้องใช้ในกิจการค้าขายหรืออาชีวะอย่างนั้น

ฎีกาที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้

คำพิพากษาฎีกาที่ 2711/2529  ผู้รับฝาก  มีหน้าที่จะต้องคืนทรัพย์ที่รับฝากแก่ผู้ฝาก  ผู้รับฝากจะนำทรัพย์ออกใช้สอยหรือมอบให้ผู้อื่นโดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ฝากหาได้ไม่

ดังนั้น หากบุคคลท่านใดที่เกิดความเสียหายที่เกิดขึ้นจากเงินสูญหายในบัญชีในเรื่องดังกล่าวนี้  ธนาคารจึงมีหน้าที่จะต้องรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามหน้าที่ที่มีต่อลูกค้าของตน   และหากเกิดความเสียหายกับธนาคารในเรื่องดังกล่าว    ธนาคารก็สามารถใช้สิทธิ์ในการดำเนินคดีกับผู้ที่ทำให้ก่อให้เกิดความเสียหายในเรื่องนี้ได้ต่อไปได้เช่นเดียวกัน

 

กฎหมายหน้ารู้