สิทธิบอกเลิกเช่าซื้อรถยนต์หรือจักรยานยนต์

สิทธิบอกเลิกเช่าซื้อรถยนต์หรือจักรยานยนต์

          ในทางปฏิบัติแล้วฝ่ายที่ใช้สิทธิเลิกสัญญามักจะเป็นผู้ให้เช่าซื้อ มีน้อยรายที่ผู้เช่าซื้อจะเป็นฝ่ายเลิกสัญญาและเหตุที่ผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญากับผู้เช่าซื้อก็คือเหตุที่ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ใช้เงินค่าเช่าซื้อ หรือที่เรียกกันว่าขาดส่งงวดและแม้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574 วรรคหนึ่ง จะกำหนดว่าผู้เช่าซื้อต้องผิดนัดไม่ใช้เงินสองคราวติดๆ กันก็ตาม แต่ขณะท าสัญญาเช่าซื้อ ผู้ให้เช่าซื้อซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจมักจะทำสัญญายกเว้นกฎหมายดังกล่าว นั่นคือทำสัญญาในลักษณะที่มีข้อตกลงว่าแม้ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระเงินค่าเช่าซื้อเพียงงวดเดียวผู้ให้เช่าซื้อก็สามารถบอกเลิกสัญญาได้ทันที ซึ่งศาลฎีกาเคยวินิจฉัยว่าข้อตกลงที่แตกต่างจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 574 วรรคหนึ่ง ดังกล่าวนั้นสามารถใช้บังคับได้ เพราะมาตรา 574 วรรคหนึ่ง มิใช่บทบัญญัติเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน คู่สัญญาจึงสามารถตกลงยกเว้นเป็นอย่างอื่นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 151 https://www.highlandstheatre.com/

         ซึ่งอย่างที่ผู้เขียนกล่าวมา สัญญาเช่าซื้อที่ผู้ให้เช่าซื้อทำมามักเป็นสัญญาสำเร็จรูปผู้เช่าซื้อแทบไม่มีอำนาจต่อรองกับผู้ให้เช่าซื้อ ทำให้ผู้เช่าซื้อต้องผูกพันตามสัญญานั้น เมื่อผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อแม้เพียงงวดเดียว ผู้ให้เช่าซื้อก็สามารถบอกเลิกสัญญาได้ทันทีตามข้อสัญญานั้น

กฎหมายหน้ารู้

การจัดการทรัพย์สินคู่สมรส

การจัดการทรัพย์สินคู่สมรส

           มาตรา ๑๔๗๓ สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้จัดการ มาตรา ๑๔๗๕ ถ้าสินสมรสใดเป็นจำพวกที่ระบุไว้ในมาตรา ๔๕๖ แห่งประมวลกฎหมายนี้ หรือที่มีเอกสารเป็นสำคัญ สามีหรือภริยาจะร้องขอให้ลงชื่อตนเป็นเจ้าของรวมกันในเอกสารนั้นก็ได้ มาตรา ๑๔๗๖ สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้

          (๑) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จำนอง ปลดจำนอง หรือโอนสิทธิจำนอง ซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้

          (๒) ก่อตั้งหรือกระทำให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจำยอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์

          (๓) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี

          (๔) ให้กู้ยืมเงิน

          (๕) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัวเพื่อการกุศล เพื่อการสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา

          (๖) ประนีประนอมยอมความ

          (๗) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย

          (๘) นำทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง

 

กฎหมายหน้ารู้

ทรัพย์สินที่เป็นสินสมรส

ทรัพย์สินที่เป็นสินสมรส

       มาตรา ๑๔๗๐ ทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา นอกจากที่ได้แยกไว้เป็นสินส่วนตัวย่อมเป็นสินสมรส มาตรา ๑๔๗๔ สินสมรสได้แก่ทรัพย์สิน

(๑) ที่คู่สมรสได้มาระหว่างสมรส

(๒) ที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรสโดยพินัยกรรมหรือโดยการให้เป็นหนังสือเมื่อพินัยกรรมหรือหนังสือยกให้ระบุว่าเป็นสินสมรส

(๓) ที่เป็นดอกผลของสินส่วนตัว ถ้ากรณีเป็นที่สงสัยว่าทรัพย์สินอย่างหนึ่งเป็นสินสมรสหรือมิใช่ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นสินสมรส

       มาตรา ๑๔๙๐ หนี้ที่สามีภริยาเป็นลูกหนี้ร่วมกันนั้นให้รวมถึงหนี้ที่สามีหรือภริยาก่อให้เกิดขึ้นในระหว่างสมรส ดังต่อไปนี้

(๑)หนี้เกี่ยวแก่การจัดการบ้านเรือนและจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับครอบครัว การอุปการะเลี้ยงดูตลอดถึงการรักษาพยาบาลบุคคลในครอบครัวและการศึกษาของบุตรตามสมควรแก่อัตภาพ

(๒) หนี้ที่เกี่ยวข้องกับสินสมรส

(๓) หนี้ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการงานซึ่งสามีภริยาทำด้วยกัน

(๔) หนี้ที่สามีหรือภริยาก่อขึ้นเพื่อประโยชน์ตนฝ่ายเดียวแต่อีกฝ่ายหนึ่งได้ให้สัตยาบัน

กฎหมายหน้ารู้

การจัดการทรัพย์สินคู่สมรส

การจัดการทรัพย์สินคู่สมรส
มาตรา ๑๔๗๓ สินส่วนตัวของคู่สมรสฝ่ายใดให้ฝ่ายนั้นเป็นผู้จัดการ
มาตรา ๑๔๗๕ ถ้าสินสมรสใดเป็นจำพวกที่ระบุไว้ในมาตรา ๔๕๖ แห่งประมวลกฎหมายนี้ หรือที่มีเอกสารเป็นสำคัญ สามีหรือภริยาจะร้องขอให้ลงชื่อตนเป็นเจ้าของรวมกันในเอกสารนั้นก็ได้
มาตรา ๑๔๗๖ สามีและภริยาต้องจัดการสินสมรสร่วมกันหรือได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่งในกรณีดังต่อไปนี้
(๑) ขาย แลกเปลี่ยน ขายฝาก ให้เช่าซื้อ จำนอง ปลดจำนอง หรือโอนสิทธิจำนอง ซึ่งอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์ที่อาจจำนองได้
(๒) ก่อตั้งหรือกระทำให้สุดสิ้นลงทั้งหมดหรือบางส่วนซึ่งภาระจำยอม สิทธิอาศัย สิทธิเหนือพื้นดิน สิทธิเก็บกิน หรือภาระติดพันในอสังหาริมทรัพย์
(๓) ให้เช่าอสังหาริมทรัพย์เกินสามปี
(๔) ให้กู้ยืมเงิน
(๕) ให้โดยเสน่หา เว้นแต่การให้ที่พอควรแก่ฐานานุรูปของครอบครัวเพื่อการกุศล เพื่อการสังคม หรือตามหน้าที่ธรรมจรรยา
(๖) ประนีประนอมยอมความ
(๗) มอบข้อพิพาทให้อนุญาโตตุลาการวินิจฉัย
(๘) นำทรัพย์สินไปเป็นประกันหรือหลักประกันต่อเจ้าพนักงานหรือศาล
การจัดการสินสมรสนอกจากกรณีที่บัญญัติไว้ในวรรคหนึ่ง สามีหรือภริยาจัดการได้โดยมิต้องได้รับความยินยอมจากอีกฝ่ายหนึ่ง

กฎหมายหน้ารู้

คำพิพากษาฏีกาคดีหมิ่นประมาท

คำพิพากษาฏีกาคดีหมิ่นประมาท

คำพิพากษาฎีกาที่ 380/2503  จำเลยได้ยินอาของโจทก์เล่าให้ฟังว่าโจทก์กับ อ.ซึ่งเป็นญาติรักใครกันในทางชู้สาว นอนกกกอดจูบกันและได้เสียกัน ต่อมามีนาง ส. มาถามจำเลย จำเลยก็เล่าข้อความตามที่ได้ยินมาให้นาง ส. ฟัง เช่นนี้ถ้อยคำที่จำเลยกล่าวเป็นข้อความหมิ่นประมาทโจทก์อย่างเห็นได้ชัด แม้จำเลยจะตอบไปโดยถูกถามก็ดี จำเลยควรต้องสำนึกในการกระทำ และเล็งเห็นผลการกระทำของจำเลยได้ว่าจะทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย ถือว่าจำเลยหมิ่นประมาทโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1861/2561  ป.อ. มาตรา 329 เป็นบทบัญญัติยกเว้นการกระทำที่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท เพื่อมิให้ผู้แสดงความคิดเห็นหรือข้อความโดยสุจริตต้องตกเป็นผู้กระทำผิด ทั้งนี้เพื่อให้การวิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นเป็นสิ่งที่กระทำได้ในขอบเขตที่กฎหมายบัญญัติ และเพื่อรักษาประโยชน์ของบุคคลหรือสาธารณะ ขอบเขตการวิพากษ์วิจารณ์จะกระทำได้มากน้อยเพียงใดนั้น นอกจากองค์ประกอบความผิดแล้ว ยังต้องพิเคราะห์ความเกี่ยวข้องของผู้กระทำ ผู้เสียหาย สถานที่เกิดเหตุ ตลอดจนมูลเหตุ และพฤติการณ์แวดล้อมอันเป็นที่มาแห่งการกระทำด้วยแม้ถ้อยคำและข้อความที่จำเลยที่ 2 กล่าวโจมตีโจทก์ แต่สถานะของโจทก์ที่เป็นนักการเมืองผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดทางบริหารในฐานะนายกรัฐมนตรีและเป็นผู้นำประเทศ ย่อมเป็นที่คาดหวังของสังคมทุกระดับชั้นทั้งในและต่างประเทศว่าต้องเป็นผู้ทรงคุณธรรม มีพฤติกรรมที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ในทุกด้านของการกระทำทั้งทางตรงและทางอ้อม ไม่ว่าจะในมิติของกฎหมายหรือศีลธรรม ตลอดจนการดำรงตนในสังคมในทุกกรณีบุคคลสาธารณะในฐานะนักการเมืองเช่นโจทก์ ผู้มีส่วนได้เสียย่อมใช้สิทธิติชมได้โดยสุจริต และต้องยอมรับการวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างกว้างขวาง ตามพฤติการณ์ก่อนเกิดเหตุดังวินิจฉัยเชื่อมโยงถึงขณะเกิดเหตุที่จำเลยที่ 2 กล่าวถ้อยคำในการแถลงข่าว ทั้งเป็นการแถลงต่อสื่อมวลชนโดยเปิดเผยอันแสดงถึงเจตจำนงที่ต้องการให้สาธารณชนรับรู้ จึงเข้าเกณฑ์ข้อยกเว้นว่าเป็นการกระทำไปโดยสุจริต เพื่อติชมด้วยความเป็นธรรมซึ่งบุคคลในฐานะนักการเมืองฝ่ายค้านเช่นจำเลยที่ 2 ในฐานะโฆษกศูนย์อำนวยการเลือกตั้งของจำเลยที่ 1 ชอบที่จะกระทำได้ในนามของจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 จึงต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 329 (3) แห่งประมวลกฎหมายอาญา ส่วนถ้อยคำเปรียบเปรยหรือเสียดสีโจทก์เป็นผีปอบนั้น แม้เป็นการไม่สมควรกล่าวถึงโจทก์ แต่ก็เป็นถ้อยคำเสียดสีในสิ่งซึ่งเป็นไปไม่ได้ในความรู้สึกนึกคิดของคนทั่วไป ถ้อยคำส่วนนี้จึงไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท https://www.highlandstheatre.com/

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 319/2560  จำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าของกิจการหนังสือพิมพ์ตามบทนิยามของ พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550 มาตรา 4 มิได้มีหน้าที่ตามกฎหมายที่ต้องรับผิดชอบในการผลิตข่าวแต่อย่างใด เมื่อโจทก์มิได้นำสืบพยานให้ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เกี่ยวข้องกับข่าวตามที่โจทก์นำมาฟ้องอย่างไร จึงไม่อาจลงโทษจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทได้

จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของสื่ออิเล็กทรอนิกส์เว็บไซต์มติชนออนไลน์ เป็นผู้นำเสนอข่าวสารทางระบบคอมพิวเตอร์ในนามของตนเอง คือเว็บไซต์มติชนออนไลน์ จำเลยที่ 1 ย่อมเป็นผู้ให้บริการตามบทนิยามของ พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 3 และการที่เว็บไซต์มติชนออนไลน์เสนอข่าวใด ๆ ย่อมถือว่าจำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าของและเป็นผู้ให้บริการ ยินยอมให้มีการนำเสนอข่าวดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ 1 จะอ้างว่าได้มอบให้บุคคลอื่นควบคุมดูแลบริหารจัดการเว็บไซต์โดยจำเลยที่ 1 มิได้เกี่ยวข้องกับข่าวดังกล่าวเลยหาได้ไม่ เพราะบทกฎหมายข้างต้นมีเจตนารมณ์มุ่งประสงค์จะควบคุมการทำหน้าที่ของผู้ให้บริการโดยเฉพาะ

โจทก์มิได้เป็นแกนนำหรือเข้าร่วมการชุมนุมตามข่าวที่ปรากฏ ถือได้ว่าข่าวหรือข้อมูลที่เกี่ยวกับตัวโจทก์เป็นข้อมูลอันเป็นเท็จ เมื่อข่าวดังกล่าวระบุว่าการชุมนุมมีการนำรถบรรทุกสิบล้อมาปิดถนน อันเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เป็นเหตุให้รถทุกประเภทไม่สามารถสัญจรผ่านไปมาได้ ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชน ย่อมทำให้โจทก์ซึ่งตามข่าวระบุว่าเป็นแกนนำการชุมนุมได้รับความเสียหายแก่ชื่อเสียงได้ จำเลยที่ 1 เป็นผู้ให้บริการยินยอมให้มีการนำข้อมูลอันเป็นเท็จดังกล่าวเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ โดยประการที่น่าเกิดความเสียหายแก่โจทก์หรือประชาชน จึงมีความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 มาตรา 15 ประกอบมาตรา 14 (1) https://www.funpizza.net/

หนังสือพิมพ์รายวันมติชนของจำเลยที่ 1 เผยแพร่และวางจำหน่ายทั่วราชอาณาจักร ส่วนเว็บไซต์มติชนออนไลน์ก็เผยแพร่โดยระบบสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ ผู้สนใจสามารถติดตามข่าวได้ทั่วราชอาณาจักรเช่นเดียวกัน ถือได้ว่าการกระทำตามฟ้องเกิดขึ้นทั่วราชอาณาจักร โจทก์จึงใช้สิทธิฟ้องคดีนี้ต่อศาลชั้นต้นได้ไม่ถือว่าเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4998/2558  การนำหนังสือพิมพ์ไปแจกโดยทราบว่ามีเนื้อหาข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ถือได้ว่าเป็นการกระจายข่าวไปสู่สาธารณชนหรือประชาชนทั่วไปแล้ว จึงเป็นการกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาทโดยการโฆษณา

 

กฎหมายหน้ารู้

ถูกฟ้องเป็นคดีอาญาหรือคดีแพ่งต่อศาล

            ถูกฟ้องเป็นคดีต่อศาล ไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญาก็มีความสำคัญด้วยกันทั้งสิ้น การถูกฟ้องเป็นคดีต่อศาลในคดีแพ่งจะมีความสำคัญต่อเรื่องของยอดเงินและความรับผิดชอบหรือค่าเสียหายที่จะต้องรับผิดชอบต่อคู่ความอีกฝ่ายว่าฝ่ายที่ถูกฟ้องจะต้องรับผิดชอบต่อฝ่ายโจทก์ในคดีแพ่งมากน้อยแค่ไหนเพียงใด
ส่วนกรณีหากท่านใดถูกฟ้องเป็นคดีอาญา ก็มีผลว่าคดีดังกล่าวจะต้องรับโทษทางอาญา มากน้อยแค่ไหนเพียงใด เช่น โทษจำคุก โทษปรับ กักขัง
เพราะฉะนั้นหากท่านใดมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับคดีความดังกล่าวข้างต้น เพื่อป้องกันไม่ให้ท่านเกิดความเสียเปรียบ หรือเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายต่อรูปคดี รวมทั้งเพื่อการเตรียมพร้อมหรือการเตรียมตัวก่อนขึ้นศาล ทนายแนะนำว่า ท่านที่มีปัญหาดังกล่าวสมควรติดต่อและเข้าพบทนายความเพื่อขอรับคำปรึกษา หรือขอรับคำแนะนำ เพื่อรับทราบแนวทางการแก้ไขปัญหาจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นได้
           ทั้งนี้ขั้นตอนดังกล่าว ถือว่าเป็นขั้นตอนขั้นต้นในการแก้ไขปัญหาคดีความที่เกิดขึ้นต่อกันได้ หรือเรียกว่าเป็นบันไดขั้นที่ 1

กฎหมายหน้ารู้

ตั้งเรื่องฟ้องได้ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง

“ตั้งเรื่องฟ้องได้ดีมีชัยไปกว่าครึ่ง”

       ก่อนการยื่นเรื่องฟ้องร้องต่อศาลในคดีแพ่ง ทนายความควรตระเตรียมรวบรวมข้อมูลต่างๆ ให้ถูกต้อง ครบถ้วน ชัดเจน รอบคอบ ให้มากที่สุด ดังนี้

          – ต้องตรวจสอบ สถานะของคู่ความ (ทั้งฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลย)

กรณีบุคคลธรรมดา ต้องตรวจสอบว่ามีความสามารถในการใช้สิทธิทางศาลหรือไม่ กล่าวคือ ต้องมีสภาพบุคคล และมีรายละเอียดทางประวัติ เช่น  ชื่อ นามสกุล อายุ เพศ วันเดือนปีเกิด เชื้อชาติ สัญชาติ ครอบครัว อาชีพ ภูมิลำเนา ถิ่นที่อยู่ และ เป็นผู้เยาว์ เป็นคนไร้ความสามารถ หรือ คนเสมือนไร้ความสามารถ หรือไม่ ฯลฯ กรณีนิติบุคคล  ก็ต้องตรวจสอบเพิ่มเติม ในเรื่องหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคลจากนายทะเบียนหุ้นส่วนบริษัท เพื่อดูอำนาจของกรรมการ หรือ ผู้จัดการ ว่ามีอำนาจจัดการแทนบริษัท หรือ ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น หรือไม่ เพราะจะมีผลเกี่ยวโยงไปถึงเรื่อง อำนาจฟ้อง และ เขตอำนาจศาล

         – ตรวจสอบข้อเท็จจริง ในคดี โดยสอบจาก โจทก์(ลูกความ) และ พยานบุคคล พยานเอกสาร ที่โจทก์ อ้างถึง พิจารณาเรื่องราว ต่าง ๆ

ที่ทำให้เกิดการโต้แย้งสิทธิ์ และ โจทก์ มีความเดือดร้อนอย่างไร มีความเสียหายประการใดบ้าง

         – ตรวจสอบว่า มีประเด็นข้อพิพาทกี่ประเด็น  และ ประเด็นต่างๆ เหล่านั้น มีหลักกฎหมาย เรื่องใดสนับสนุน และ สามรถนำมา

ปรับใช้กับ ข้อเท็จจริง ในคดีได้

       – ตรวจสอบเรื่อง เขตอำนาจศาล ว่าคำฟ้องนั้นๆ ควรยื่นฟ้องต่อศาลใด เช่น ยื่นฟ้องต่อศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนา , ยื่นฟ้องต่อศาลที่มูลคดีเกิด

แต่ถ้าเป็นคำฟ้องที่เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ หรือ สิทธิประโยชน์อันเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ก็ให้ยื่นฟ้องต่อศาลที่อสังหาริมทรัพย์นั้น ตั้งอยู่

       – ตรวจสอบ หลักกฎหมาย ว่า โจทก์ต้องปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนฟ้องหรือไม่ ถ้ามีก็ต้องปฏิบัติตามที่กฎหมายกำหนด

ให้ครบถ้วนเสียก่อน โจทก์ จึงจะมาฟ้องคดีได้ เช่น การฟ้องบังคับจำนอง มีกฎหมายกำหนดว่า ผู้รับจำนอง ต้องมีจดหมายบอกกล่าว

ไปยังลูกหนี้ ก่อนว่าให้ชำระหนี้ภายในเวลาอันสมควร ถ้าลูกหนี้ไม่ปฏิบัติตามคำบอกกล่าวนั้น  ผู้รับจำนอง จึงจะมาฟ้องคดีได้

     – ตรวจสอบ อายุความ ในเรื่องที่จะฟ้องให้ชัดเจน เช่น การฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทน ฐานละเมิด นั้นมีอายุความ 1 ปี

นับแต่วันที่ผู้เสียหายรู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้ที่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือ ในกรณีที่ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะ

ก็สามารถใช้อายุความโดยทั่วไปได้ คือ 10 ปี นับแต่วันที่อาจบังคับใช้สิทธิเรียกร้องได้

     – การคำนวณ ทุนทรัพย์  การดำเนินคดีในศาลนั้น ฝ่ายโจทก์จะต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลในการฟ้องคดี  คดีที่มีทุนทรัพย์สูง

ค่าธรรมเนียมในการฟ้องคดีก็จะสูงตามไปด้วย แต่หากคิดคำนวณ ตั้งทุนทรัพย์ ต่ำๆ เพื่อหวังลดค่าใช้จ่าย ก็อาจมีผลเสีย บางประการ เช่น

หากโจทก์ แพ้คดีในศาลชั้นต้น แล้วทุนทรัพย์ ต่ำเกินไป ก็อาจทำให้โจทก์เสียสิทธิ การขอ อุทธรณ์ ฎีกา    ดังนั้น ควรคิดคำนวณทุนทรัพย์ ให้ดีๆ

     – การแจ้งความประสงค์ ของโจทก์ว่า จะขอให้ศาลช่วย เรื่องใด อย่างไรบ้าง ซึ่งเป็น บทสรุป โดยทำเป็น  “คำขอท้ายฟ้อง”

(ใช้แบบพิมพ์ของศาล) หากไม่มี คำขอท้ายฟ้อง ศาลก็จะไม่สามารถบังคับตัดสินคดีให้ได้ เพราะมีหลักกฎหมาย ห้ามมิให้ศาล พิพากษาเกินคำขอ

***หากทำได้ครบถ้วนตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น การตั้งเรื่องฟ้อง ก็จะหนักแน่น รัดกุม ทำให้มีโอกาสได้รับชัยชนะ สูง***

กฎหมายหน้ารู้

การเตรียมเรื่องก่อนที่จะนำคดีขึ้นสู่ศาล

การเตรียมเรื่องก่อนที่จะนำคดีขึ้นสู่ศาล

            เมื่อลูกความมีความประสงค์ที่จะฟ้องคดีและให้ทนายความว่าต่างแก้ต่างให้ลูกความและทนายความจะต้องจัดเตรียมเรื่องอย่างไรและมีความมุ่งหมายอย่างไรในคดีแพ่งมีข้อพิจารณาดังต่อไปนี้

            1.ทนายความต้องประชุมกับลูกความเพื่อสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคดีที่เกิดขึ้นทั้งพยานบุคคล พยานเอกสาร พยานวัตถุอื่นๆที่จะทำให้ทนายความทราบและวินิจฉัยเบี้องต้นในข้อกฎหมายเกี่ยวกับแนวทางในการดำเนินคดีว่าจะให้เป็นไปในทิศทางใด

            2.เมื่อทนายความทราบถึงข้อเท็จจริงและเหตุผลแล้วขั้นตอนต่อไป คือการรวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องทั้งที่มีอยู่กับตัวลูกความเองและพยานหลักฐานอื่นที่ทนายความจะต้องไปเสาะแสวงหาจากหน่วยงานราชการอื่นหรืองค์กรอื่นหรือบุคคลอื่นและสถานที่อื่นบางคดีอาจต้องลงพื้นที่ที่เกิดเหตุเพื่อถ่ายรูปและเก็บข้อมูลรวมถึงทำแผนที่เพื่อจัดเตรียมนำเสนอต่อศาลในลำดับถัดไป

            3.เมื่อพยานหลักฐานพร้อมแล้ว ทนายความจะต้องนัดหมายลูกความเพื่อรายงานให้ทราบถึงขั้นตอนการทำงานและความคืบหน้าในการดำเนินคดีพร้อมทั้งอธิบายถึงทางได้ทางเสียที่ลูกความจะได้รับในการดำเนินคดีทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเข้าใจในเนื้อหาสาระและการตกลงใจพร้อมกับลงลายมือชื่อในอกสารต่างๆที่ทนายความได้จัดทำมา

การเตรียมคดีในคดีอาญากล่าวคือ เมื่อลูกความตัดสินใจที่จะฟ้องร้องคดีอาญาต่อบุคคลอื่นเมื่อทนายความประชุมสอบข้อเท็จจริงแล้ว สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาเป็นลำดับแรกคือ การเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4)โดยลูกความต้องไม่เป็นผู้มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดหรือรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดหรือเป็นฝ่ายก่อให้เกิดการกระทำผิดนั้นขึ้นมาเอง ประการต่อมาคืออายุความฟ้องร้องผู้กระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 95 และประการต่อมาคือให้พิจารณาถึงเขตอำนาจศาลตามกฎหมายซึ่งในคดีอาญานั้นสถานที่เกิดเหตุถือว่าเป็นสาระสำคัญอย่างหนึ่งที่ศาลจะรับคดีเอาไว้พิจารณาหรือไม่ เมื่อเงื่อนไขตามกฎหมายครบถ้วนแล้ว ทนายความจึงดำเนินการฟ้องคดีอาญาให้กับท่านได้ต่อไป

กฎหมายหน้ารู้

การเตรียมตัวก่อนเข้าพบพนักงานสอบสวน

การเตรียมตัวก่อนเข้าพบพนักงานสอบสวน

1.สอบถามให้ชัดเจนว่าถูกเรียกไปพบในสถานะใด    ในกรณีที่ถูกหมายเรียกจากพนักงานสอบสวนตัวความควรรู้เบื้องต้นว่าท่านไปพบพนักงานสอบสวนในฐานะพยาน  หรือ  ผู้ถูกกล่าวหา    หากมีการแจ้งข้อกล่าวหาแล้วเราตกอยู่ในฐานะผู้ต้องหาเรามีสิทธิทางกฎหมายที่จะให้การหรือไม่ให้การก็ได้    หากไปในฐานะพยานเรามีหน้าที่ต้องให้การตามความเป็นจริงหากฝ่าฝืนอาจถูกแจ้งข้อกล่าวในเรื่องการให้การเท็จด้วยได้

2.การให้การต่อพนักงานสอบสวนพร้อมเหตุผล  และ  พยานหลักฐานที่มีอยู่ให้พนักงานทราบ   แม้ว่าเราจะตกเป็นผู้ต้องหาแต่เรามีสิทธิให้การหรือไม่ให้การก็ได้    แต่การปฏิเสธโดยไม่มีเหตุผลทำให้มีโอกาสที่จะถูกฟ้องคดีได้ง่ายยิ่งขึ้น      ดังนั้นเราต้องมีพยานหลักฐานไม่ว่าจะเป็นพยานบุคคล พยานเอกสารหรือพยานวัตถุ เป็นต้น

3.สิทธิที่จะให้บุคคลที่ไว้วางใจหรือทนายความเข้าร่วมฟังการสอบสวนซึ่งกฎหมายกำหนดสิทธิข้อนี้ไว้      ทั้งนี้เพื่อให้ทนายความช่วยเหลือและรักษาประโยชน์ของผู้ต้องหา ซึ่งพนักงานสอบสวนไม่มีสิทธิที่จะกันบุคคลตามกฎหมายออกไปได้   ลักษณะนี้ถือว่าการเข้าพบตำรวจท่านเปรียบเสมือนมีตัวช่วยคอยชี้แนะ  แนะนำ  ให้คำปรึกษาถึงผลดีผลเสียในเรื่องต่างๆที่เกี่ยวข้องในคดีได้

4.สอบถามเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราว การพบพนักงานสอบสวนในฐานะผู้ต้องหาเมื่อมีการแจ้งข้อกล่าวหาและรับทราบข้อกล่าวหาจะมีการพิมพ์ลายนิ้วมือและบางคดีอาจต้องมีการควบคุมตัวในขั้นตอนนี้จึงควรมีทนายความมาช่วยเหลือในเรื่องของการประกันตัวและการจัดเตรียมหลักทรัพย์ในการประกันตัวซึ่งในข้อนี้มีความสำคัญมากเพราะหากไม่ได้รับการประกันตัวหรือปล่อยชั่วคราวนั้น จะทำให้การเตรียมพยานหลักฐานเพื่อชี้แจงต่อพนักงานสอบสวนจะไม่สะดวกและเป็นไปได้ยาก แต่หากได้รับแจ้งจากพนักงานสอบสวนเรื่องการใช้หลักทรัพย์ในการประกันตัวแล้วควรรับปรึกษาทนายความของท่านเพื่อหาช่องทางในการต่อสู้คดีและหากในวันนัดตามหมายเรียกเรายังไม่พร้อมควรแจ้งไปยังพนักงานสอบสวนเพื่อขอเลื่อนกำหนดการไปก่อนจนกว่าทนายความของท่านจะได้จัดเตรียมแนวทางในการต่อสู้คดีเสร็จเรียบร้อยแล้ว

 

ดังนั้นจากบทความข้างต้นที่ได้กล่าวเอาไว้แล้ว ทนายความของท่านจึงมีบทบาทสำคัญตามกฎหมายที่จะช่วยเหลือท่านได้และเป็นที่ไว้วางใจในการจัดเตรียมแนวทางต่อสู้คดีครับ

 

 

กฎหมายหน้ารู้

คำให้การในชั้นศาลสำคัญอย่างไร

คำให้การในชั้นศาลสำคัญอย่างไร

    คำให้การในชั้นศาลในคดีแพ่งและคดีอาญามีความแตกต่างและจำเป็นต่อการพิจารณาคดีอย่างไร คดีแพ่งสามัญนั้นคำให้การต้องทำเป็นหนังสือเสมอเว้นแต่ในคดีมโนสาเร่จำเลยจะให้การด้วยวาจาก็ได้โดยคำให้การมีหลักการที่ควรรู้ 4 ประการคือ

1.ปฎิเสธคำกล่าวหาของโจทก์เสียทั้งหมดเรียกว่าคำให้การปฎิเสธ

2.ให้การรับว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวหาในฟ้องนั้นเป็นความจริงแต่โจทก์กล่าวไม่หมดแต่ยังมีข้อเท็จจริงอื่นอีกและจำเลยขอเสนอข้อเท็จจริงนั้น ซึ่งเมื่อเอาข้อเท็จจริงมาเสนอใหม่นี้ประกอบกับข้อเท็จจริงในคำฟ้องของโจทก์ทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิขอให้ศาลบังคับจำเลยตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์ เรียกว่าคำให้การกึ่งรับกึ่งสู้

3.คำให้การที่รับข้อเท็จจริงของโจทก์ตามฟ้องและหยิบยกข้อเท็จจริงใหม่พร้อมด้วยข้อต่อสู้ของจำเลยโดยมีลักษณะเป็นทั้งคำให้การต่อสู้คดีและฟ้องแย้งให้โจทก์รับผิดตามกฎหมายด้วย

4.คำให้การในคดีแพ่งจะต้องแสดงให้เห็นว่าจำเลยรับหรือปฎิเสธอย่างชัดแจ้งพร้อมด้วยมูลเหตุแห่งการนั้นทั้งนี้เพื่อศาลและคู่ความสามารถกำหนดประเด็นข้อพิพาทแห่งคดีว่าคู่ความฝ่ายใดมีภาระการพิสูจน์มากน้อยต่อกันอย่างไร ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการดำเนินกระบวนพิจารณาในการสืบพยานต่อไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177

คำให้การในคดีอาญามีข้อพิจารณาต่อไปนี้

  1. ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 คือการปฎิเสธทุกข้อกล่าวหาและขอต่อสู้คดีโดยรายละเอียดข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานจะนำเสนอต่อศาลในชั้นพิจารณาต่อไป

2.ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 คือการรับสารภาพทุกข้อกล่าวหาโดยขอให้ศาลลงโทษสถานเบา

แต่ไม่ว่าจะเป็นคดีแพ่งหรือคดีอาญาลูกความผู้ได้รับความเดือดร้อนจากการถูกฟ้องคดีจึงควรมีทนายความช่วยในการดูแลและหาช่องทางในการต่อสู้คดีให้แก่ลูกความถือว่าดีที่สุด

 

กฎหมายหน้ารู้