การขายฝากกระเป๋าแบรนด์เนม

การขายฝากกระเป๋าแบรนด์เนม

กระเป๋าแบรนด์เนม ไม่ใช่แค่เครื่องประดับแฟชั่น แต่ยังถือเป็นสินทรัพย์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ หนึ่งในวิธีที่นิยมใช้คือ การขายฝาก ซึ่งช่วยให้เจ้าของกระเป๋าได้รับเงินสดทันที โดยยังสามารถไถ่คืนกระเป๋าได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด

การขายฝากกระเป๋าแบรนด์เนมคืออะไร?

การขายฝากเป็นสัญญาที่เจ้าของกระเป๋านำสินทรัพย์ของตนไปเปลี่ยนเป็นเงินสดกับผู้รับซื้อฝาก โดยมีเงื่อนไขว่าสามารถไถ่คืนได้ภายในเวลาที่กำหนด หากพ้นกำหนดโดยไม่มีการไถ่ถอน กระเป๋าจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้รับซื้อฝากทันที

ขายฝากต่างจากจำนำอย่างไร?

ขายฝาก: โอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้รับซื้อฝากชั่วคราว แต่สามารถซื้อคืนได้

จำนำ: เจ้าของยังคงมีกรรมสิทธิ์ในกระเป๋า แต่ใช้เป็นหลักประกันในการกู้เงิน

ข้อดีและข้อเสียของการขายฝากกระเป๋าแบรนด์เนม

✅ ข้อดี

✔ ได้รับเงินสดรวดเร็ว

✔ ไม่ต้องขายขาด ยังมีโอกาสไถ่คืน

✔ ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์อื่นค้ำประกัน

❌ ข้อเสีย

❌ หากไม่ไถ่คืนภายในเวลาที่กำหนด จะสูญเสียกระเป๋า

❌ อาจต้องเสียค่าธรรมเนียมหรือดอกเบี้ยเพิ่มเติม

❌ หากเลือกแหล่งรับซื้อฝากที่ไม่น่าเชื่อถือ อาจเกิดปัญหา

 

ขั้นตอนการขายฝากกระเป๋าแบรนด์เนม

  1. เลือกผู้รับซื้อฝากที่น่าเชื่อถือ ตรวจสอบรีวิวและชื่อเสียง ดูว่าสัญญามีความโปร่งใส
  2. ประเมินราคากระเป๋า ยี่ห้อ รุ่น และสภาพกระเป๋ามีผลต่อราคา ควรเปรียบเทียบราคาหลายแหล่ง
  3. ทำสัญญาขายฝาก ระบุราคาขายฝากและระยะเวลาการไถ่คืน ตรวจสอบค่าธรรมเนียมหรือดอกเบี้ย
  4. รับเงินสดและเก็บเอกสารให้ดี หลังทำข้อตกลง ควรเก็บสัญญาไว้เป็นหลักฐาน
  5. ไถ่คืนกระเป๋าตามกำหนด จ่ายเงินคืนให้ครบถ้วนเพื่อรับกระเป๋าคืน

 

ข้อควรระวังก่อนขายฝากกระเป๋าแบรนด์เนม

✔ อ่านและทำความเข้าใจสัญญาก่อนลงนาม

✔ เลือกแหล่งรับซื้อฝากที่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจ

✔ เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขให้ดี

✔ เก็บเอกสารและหลักฐานธุรกรรมให้ครบถ้วน

 

การขายฝากกระเป๋าแบรนด์เนมเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการเงินสดด่วน แต่ต้องศึกษาเงื่อนไขให้ละเอียดและเลือกแหล่งรับซื้อฝากที่เชื่อถือได้ เพื่อป้องกันการสูญเสียทรัพย์สินโดยไม่จำเป็น

หากคุณกำลังพิจารณาขายฝากกระเป๋า อย่าลืมตรวจสอบเงื่อนไขให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ!

—————————————————————————————————————————————————–

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

📱โทร : 02-1217414 ,091-0473382      📍Line : https://page.line.me/379vfaui

📍พิกัด : ถ.บางนาตราด (ใกล้ห้างเมกะบางนา)

เปิดให้บริการ [ จันทร์-ศุกร์ ] เวลา 09:00-17:00 น.

 

กฎหมายหน้ารู้

การขอปล่อยตัวชั่วคราว

การขอปล่อยตัวชั่วคราว

การขอปล่อยตัวชั่วคราว หรือที่เรียกกันว่า “การประกันตัว” หมายถึง การที่บุคคลที่ถูกควบคุมตัวในระหว่างการพิจารณาคดีได้รับอนุญาตจากศาล หรือเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจให้ปล่อยตัวออกจากการควบคุมเป็นการชั่วคราว ภายใต้เงื่อนไขบางประการ เช่น การวางหลักทรัพย์ การมีผู้ประกัน หรือการกำหนดเงื่อนไขอื่น ๆ เพื่อรับรองว่าผู้ต้องหาจะไม่หลบหนีและจะมาปรากฏตัวตามหมายเรียกของศาล

สิทธิในการขอปล่อยตัวชั่วคราว

ในหลักกฎหมายไทย บุคคลทุกคนมีสิทธิได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด ดังนั้น ผู้ต้องหา หรือจำเลยในคดีอาญามีสิทธิยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวได้ ซึ่งเป็นสิทธิที่ได้รับการรับรองตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

ขั้นตอนการขอปล่อยตัวชั่วคราว

  1.    ยื่นคำร้อง – ผู้ต้องหา/จำเลย หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง (เช่น ญาติ หรือทนายความ) สามารถยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวต่อศาล, พนักงานสอบสวน หรือพนักงานอัยการ ขึ้นอยู่กับสถานะของคดี
  2. เสนอหลักประกัน – อาจต้องมีการวางหลักทรัพย์ เช่น เงินสด, โฉนดที่ดิน, หรือหนังสือรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นหลักประกันว่าผู้ต้องหาจะไม่หลบหนี
  3. ศาลพิจารณาคำร้อง – ศาลจะพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความหนักเบาของคดี, ความเสี่ยงในการหลบหนี, พฤติกรรมของผู้ต้องหา และหลักประกันที่เสนอ
  4. คำสั่งศาล – หากศาลอนุญาต ผู้ต้องหาจะได้รับการปล่อยตัวตามเงื่อนไขที่กำหนด แต่หากถูกปฏิเสธ ผู้ต้องหาสามารถยื่นอุทธรณ์คำสั่งได้

 

ปัจจัยที่ศาลใช้พิจารณา

ความร้ายแรงของคดี

พฤติกรรมของผู้ต้องหา (เช่น เคยหลบหนีหรือไม่)

โอกาสที่ผู้ต้องหาจะไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐาน

ความน่าเชื่อถือของหลักประกัน

 

ผลกระทบหากผิดเงื่อนไข

หากผู้ต้องหาหลบหนี หรือฝ่าฝืนเงื่อนไข ศาลอาจมีคำสั่ง ริบหลักประกัน และ ออกหมายจับ รวมถึงการถูกปฏิเสธการปล่อยตัวชั่วคราวในอนาคต

การขอปล่อยตัวชั่วคราวเป็นสิทธิพื้นฐานของผู้ต้องหาและจำเลย แต่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนดเพื่อให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไปได้อย่างเหมาะสม หากศาลเห็นว่าผู้ต้องหามีความเสี่ยงต่อการหลบหนี หรือก่อให้เกิดอันตรายต่อกระบวนการพิจารณาคดี อาจปฏิเสธคำร้อง ดังนั้น การมีที่ปรึกษากฎหมายหรือทนายความที่เชี่ยวชาญสามารถช่วยให้การยื่นคำร้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

———————————————————————————————————————————————–

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

📱โทร : 02-1217414 ,091-0473382      📍Line : https://page.line.me/379vfaui

📍พิกัด : ถ.บางนาตราด (ใกล้ห้างเมกะบางนา)

เปิดให้บริการ [ จันทร์-ศุกร์ ] เวลา 09:00-17:00 น.

กฎหมายหน้ารู้

“ดูหมิ่น” และ “หมิ่นประมาท” มีความหมายและผลทางกฎหมายที่แตกต่างกันอย่างไร

“ดูหมิ่น” และ “หมิ่นประมาท” มีความหมายและผลทางกฎหมายที่แตกต่างกัน ดังนี้

  1. ดูหมิ่น หมายถึง การแสดงความดูถูก ดูแคลน หรือสบประมาทบุคคลอื่นไม่จำเป็นต้องเป็นความเท็จ แค่พูดหรือแสดงพฤติกรรมที่เป็นการเหยียดหยามก็เข้าข่าย  ตัวอย่างเช่น ด่าทอ หยาบคาย หรือดูถูกบุคคลอื่นต่อหน้า  ถ้าดูหมิ่นเจ้าพนักงานหรือสถาบันพระมหากษัตริย์ อาจเข้าข่ายความผิดร้ายแรงขึ้น
  2. หมิ่นประมาท หมายถึง การใส่ความบุคคลอื่นต่อบุคคลที่สาม ทำให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง  มักเกี่ยวข้องกับการพูดหรือเผยแพร่ข้อมูลที่อาจเป็นเท็จหรือทำให้คนอื่นเข้าใจผิด    ตัวอย่างเช่น การโพสต์ข้อความในโซเชียลมีเดียที่ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดเกี่ยวกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง

สรุปความแตกต่าง:

ดูหมิ่น คือ การดูถูกเหยียดหยามโดยตรง

หมิ่นประมาท คือ การใส่ร้ายหรือทำให้บุคคลอื่นเสื่อมเสียชื่อเสียงผ่านบุคคลที่สาม

ทั้งสองกรณีอาจเป็นความผิดทางกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญาของไทย

—————————————————————————————————————————————————–

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

📱โทร : 02-1217414 ,091-0473382      📍Line : https://page.line.me/379vfaui

📍พิกัด : ถ.บางนาตราด (ใกล้ห้างเมกะบางนา)

เปิดให้บริการ [ จันทร์-ศุกร์ ] เวลา 09:00-17:00 น.

กฎหมายหน้ารู้

เมื่อถูกหลอกซื้อ-ขายสินค้า ควรทำอย่างไร?

เมื่อถูกหลอกให้ซื้อสินค้า

ทุกวันนี้ การซื้อขายสินค้าออนไลน์และออฟไลน์มีความสะดวกมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน การหลอกลวงผู้บริโภคก็เพิ่มขึ้นด้วย หลายคนเคยตกเป็นเหยื่อของการถูกหลอกให้ซื้อสินค้าด้วยวิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้าปลอม สินค้าคุณภาพต่ำ หรือแม้กระทั่งการรับเงินแล้วไม่ส่งสินค้า ในบทความนี้ เราจะมาพูดถึงวิธีรับมือเมื่อโดนหลอก และแนวทางป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ

ลักษณะของการหลอกลวงในการซื้อสินค้า

  1. ขายสินค้าไม่ตรงปก – ผู้ขายโฆษณาสินค้าอย่างดี แต่สินค้าที่ได้รับกลับแตกต่างจากที่โฆษณา
  2. ขายของปลอม – อ้างว่าเป็นของแท้ แต่เมื่อได้รับสินค้ากลับเป็นของเลียนแบบ
  3. ไม่ส่งสินค้า – โอนเงินไปแล้ว แต่ไม่ได้รับสินค้าและติดต่อผู้ขายไม่ได้
  4. บังคับขายสินค้า – หลอกให้สมัครสมาชิกหรือซื้อสินค้าโดยไม่เต็มใจ
  5. เสนอราคาถูกเกินจริง – ใช้ราคาที่ถูกมากเพื่อดึงดูดใจ แต่จริง ๆ แล้วไม่มีสินค้าจริง

เมื่อถูกหลอกในการซื้อ-ขายสินค้า  ควรทำอย่างไร?

  1. รวบรวมหลักฐาน เก็บหลักฐานทุกอย่าง เช่น ข้อความแชท สลิปโอนเงิน รูปสินค้า และรายละเอียดของผู้ขาย
  2. ติดต่อผู้ขาย แจ้งให้ผู้ขายทราบถึงปัญหา และขอคืนเงินหรือเปลี่ยนสินค้า หากผู้ขายไม่นำพา อาจใช้หลักฐานเพื่อดำเนินการทางกฎหมาย
  3. แจ้งความกับตำรวจ หากเป็นการฉ้อโกงที่ชัดเจน ควรไปแจ้งความที่สถานีตำรวจใกล้บ้าน พร้อมนำหลักฐานไปด้วย
  4. ร้องเรียนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) โทร 1166 หรือร้องเรียนผ่านเว็บไซต์

กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) สำหรับกรณีซื้อขายออนไลน์  ธนาคารของคุณ หากเป็นการโอนเงินไปยังบัญชีผู้ขาย อาจขอให้ธนาคารช่วยตรวจสอบ

  1. แจ้งเตือนสาธารณะ โพสต์ในโซเชียลมีเดียหรือเว็บบอร์ดเพื่อเตือนผู้อื่นไม่ให้ตกเป็นเหยื่อรายต่อไป

วิธีป้องกันไม่ให้ถูกหลอก

– ตรวจสอบผู้ขาย ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้า ดูรีวิวจากลูกค้าคนอื่นใช้ช่องทางชำระเงินที่ปลอดภัย เช่น การเก็บเงินปลายทาง (COD) หรือใช้แพลตฟอร์มที่มีการคุ้มครองผู้ซื้อ

– อย่าหลงเชื่อโปรโมชั่นที่ดูดีเกินจริง หากสินค้าราคาถูกเกินไป อาจเป็นกลโกง

– ตรวจสอบนโยบายการคืนสินค้า ก่อนตัดสินใจซื้อ ควรอ่านเงื่อนไขให้ละเอียด

– ใช้แพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือ ซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์ที่มีระบบตรวจสอบผู้ขาย

 

การถูกหลอกให้ซื้อสินค้าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่เราสามารถลดความเสี่ยงและป้องกันตนเองได้โดยการตรวจสอบข้อมูลก่อนซื้อ ใช้วิธีชำระเงินที่ปลอดภัย และรู้จักช่องทางร้องเรียนเมื่อเกิดปัญหา หากคุณหรือคนใกล้ตัวเคยถูกหลอก ควรดำเนินการตามขั้นตอนข้างต้นเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมและป้องกันไม่ให้คนอื่นตกเป็นเหยื่ออีก

 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

📱โทร : 02-1217414 ,091-0473382      📍Line : https://page.line.me/379vfaui

📍พิกัด : ถ.บางนาตราด (ใกล้ห้างเมกะบางนา)

เปิดให้บริการ [ จันทร์-ศุกร์ ] เวลา 09:00-17:00 น.

กฎหมายหน้ารู้

การแบ่งสินสมรสในกรณีสามีภรรยาไม่ได้จดทะเบียนสมรส

ในกฎหมายไทย คู่สมรสที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสจะไม่มีสถานะเป็น “สามีภรรยาตามกฎหมาย” ซึ่งหมายความว่า หลักกฎหมายเกี่ยวกับสินสมรส (มาตรา 1474 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์) จะไม่มีผลบังคับใช้โดยตรง อย่างไรก็ตาม หากมีการเลิกรากันไป การแบ่งทรัพย์สินที่ได้มาร่วมกันยังสามารถทำได้ภายใต้หลักกฎหมายและแนวทางปฏิบัติต่างๆ ดังนี้

1. หลักการแบ่งทรัพย์สินของคู่สมรสที่ไม่ได้จดทะเบียน

เมื่อไม่มีทะเบียนสมรส กฎหมายถือว่าทั้งสองฝ่ายเป็น “คู่รัก” หรือ “ภาคีร่วมลงทุน” มากกว่าคู่สมรส ดังนั้นการแบ่งทรัพย์สินจะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่อไปนี้

1.1 กรณีมีหลักฐานการเป็นเจ้าของร่วมกัน

หากทรัพย์สิน เช่น บ้าน รถยนต์ หรือที่ดิน มีชื่อทั้งสองฝ่ายเป็นเจ้าของ (กรรมสิทธิ์ร่วม) การแบ่งจะแบ่งตามสัดส่วนที่ระบุในเอกสารกรรมสิทธิ์

หากไม่มีการระบุสัดส่วนชัดเจน กฎหมายจะถือว่าแต่ละฝ่ายมีสิทธิ์เท่ากัน

1.2 กรณีทรัพย์สินเป็นชื่อของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

โดยหลักการแล้ว ทรัพย์สินที่จดทะเบียนในชื่อใครถือเป็นของคนนั้น

แต่หากสามารถพิสูจน์ได้ว่าอีกฝ่ายมีส่วนร่วมในการลงทุน หรือสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการซื้อทรัพย์สิน อาจมีสิทธิเรียกร้องขอแบ่งสัดส่วนตามที่สมควร

1.3 กรณีมีข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร

หากมีข้อตกลงล่วงหน้า เช่น หนังสือสัญญาการเป็นเจ้าของทรัพย์สินร่วมกัน ศาลอาจใช้ข้อตกลงนั้นเป็นหลักในการแบ่งทรัพย์สิน

1.4 กรณีทรัพย์สินที่ได้มาโดยการให้ (ของขวัญหมั้นหรือสินสอด)

หากเป็นทรัพย์สินที่ฝ่ายหนึ่งให้แก่กันโดยเสน่หา (เช่น ซื้อบ้านให้แฟนโดยไม่มีข้อตกลงเรื่องการคืน) อาจถือว่าเป็นทรัพย์สินของผู้รับ

แต่หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นการให้โดยมีเงื่อนไข หรือเป็นทรัพย์สินที่มีเจตนาร่วมกัน อาจต้องแบ่งให้เป็นธรรม

 

2. การเรียกร้องสิทธิ์ทางกฎหมาย

หากมีข้อพิพาทและไม่สามารถตกลงกันเองได้ ฝ่ายที่เสียเปรียบสามารถใช้สิทธิทางกฎหมายเพื่อเรียกร้องทรัพย์สินที่มีส่วนร่วมได้ ดังนี้

2.1 ฟ้องร้องในฐานะ “ภาคีร่วมลงทุน”

หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถพิสูจน์ได้ว่าตนเองมีส่วนร่วมในการลงทุน หรือมีส่วนช่วยเหลือกันในการสร้างทรัพย์สิน สามารถฟ้องร้องเพื่อแบ่งทรัพย์สินตาม หลักภาคีร่วมลงทุน ได้

2.2 ฟ้องร้องในฐานะ “นิติกรรมสัญญา”

หากมีข้อตกลงที่ชัดเจนเกี่ยวกับการร่วมสร้างทรัพย์สิน เช่น มีสัญญาระบุว่าทั้งสองฝ่ายมีส่วนร่วมในการซื้อบ้าน อาจใช้ข้อตกลงนี้เป็นหลักฐานในศาล

2.3 ฟ้องร้องในฐานะ “คดีแพ่งทั่วไป”

ในบางกรณี ศาลอาจพิจารณาให้แบ่งทรัพย์สินตาม หลักความยุติธรรม โดยคำนึงถึงการมีส่วนร่วมของแต่ละฝ่าย

 

3. ข้อควรระวังสำหรับคู่รักที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส

เพื่อป้องกันปัญหาเกี่ยวกับทรัพย์สินในอนาคต คู่รักที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสควรปฏิบัติดังนี้
✔ ทำข้อตกลงเป็นลายลักษณ์อักษร หากมีการซื้อทรัพย์สินร่วมกัน
✔ เก็บหลักฐานการจ่ายเงิน เช่น สลิปโอนเงิน หรือใบเสร็จรับเงิน ที่แสดงถึงการมีส่วนร่วมในการซื้อทรัพย์สิน
✔ พิจารณาจดทะเบียนสมรส หากมีการวางแผนใช้ชีวิตร่วมกันในระยะยาว

 

คู่สมรสที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส ไม่มีสินสมรสตามกฎหมาย แต่ยังสามารถแบ่งทรัพย์สินกันได้โดยพิจารณาจาก หลักฐานการเป็นเจ้าของ การมีส่วนร่วมในการสร้างทรัพย์สิน และข้อตกลงที่มีอยู่ หากเกิดข้อพิพาท สามารถฟ้องร้องขอแบ่งทรัพย์สินตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้ โดยศาลจะพิจารณาตามข้อเท็จจริงของแต่ละกรณี

 

——————————————————————————————————————

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

📱โทร : 02-1217414 ,091-0473382

📍Line : https://page.line.me/379vfaui

📍พิกัด : ถ.บางนาตราด (ใกล้ห้างเมกะบางนา)

เปิดให้บริการ [ จันทร์-ศุกร์ ] เวลา 09:00-17:00 น.

กฎหมายหน้ารู้

สิทธิการปกครองบุตรหลังพ่อแม่แยกทางกัน

เมื่อพ่อแม่แยกทางกัน ไม่ว่าจะโดยการหย่าร้างหรือแยกกันอยู่โดยไม่จดทะเบียนสมรส คำถามสำคัญที่มักเกิดขึ้นคือ “ใครมีสิทธิในการปกครองบุตร?” สิทธิการปกครองนี้เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจในเรื่องสำคัญของบุตร เช่น การศึกษา ที่อยู่อาศัย การรักษาพยาบาล และสวัสดิการทั่วไป ในบทความนี้ เราจะอธิบายหลักเกณฑ์ทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิการปกครองบุตรในกรณีที่พ่อแม่แยกทางกัน

  1. สิทธิการปกครองบุตรตามกฎหมายไทย

ในกรณีที่พ่อแม่จดทะเบียนสมรสกันและหย่าร้าง สิทธิการปกครองบุตร จะถูกกำหนดโดยเงื่อนไขในทะเบียนหย่า ถ้าพ่อแม่สามารถตกลงกันได้ว่าฝ่ายใดจะเป็นผู้ปกครอง ศาลจะให้ความเห็นชอบตามข้อตกลงนั้น แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ ศาลจะเป็นผู้ตัดสินใจโดยพิจารณาจากประโยชน์สูงสุดของเด็ก

สำหรับพ่อแม่ที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส มารดาจะเป็นผู้มีสิทธิในการปกครองบุตรโดยอัตโนมัติ ตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม บิดาสามารถร้องขอให้ศาลพิจารณาให้ตนมีสิทธิในการปกครองบุตรร่วมกันหรือขอรับสิทธิในการปกครองแต่เพียงผู้เดียวได้

  1. ปัจจัยที่ศาลใช้พิจารณาในการมอบสิทธิการปกครอง

เมื่อศาลต้องตัดสินว่าใครควรได้รับสิทธิในการปกครองบุตร ศาลจะพิจารณาจากปัจจัยหลายประการ ได้แก่

ความสัมพันธ์ระหว่างบิดา มารดา และบุตร – ศาลจะพิจารณาว่าใครเป็นผู้ที่เลี้ยงดูบุตรมาก่อนการแยกทาง และใครที่บุตรมีความผูกพันมากกว่า

ความสามารถในการเลี้ยงดูบุตร – ศาลจะพิจารณาถึงความมั่นคงทางการเงิน ความสามารถในการให้การศึกษา และสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตของเด็ก

สุขภาพจิตและร่างกายของพ่อแม่ – หากฝ่ายใดมีปัญหาด้านสุขภาพจิตหรือมีพฤติกรรมที่อาจเป็นอันตรายต่อบุตร เช่น การใช้สารเสพติดหรือมีพฤติกรรมรุนแรง ศาลอาจไม่ให้สิทธิการปกครองแก่ฝ่ายนั้น

ความต้องการของบุตร – หากบุตรมีอายุพอสมควร (เช่น อายุ 7 ปีขึ้นไป) ศาลอาจพิจารณาความต้องการของเด็กว่าต้องการอยู่กับใคร

  1. กรณีการเปลี่ยนแปลงสิทธิการปกครอง

หากมีการเปลี่ยนแปลงในอนาคต เช่น ฝ่ายที่ได้รับสิทธิการปกครองไม่สามารถดูแลบุตรได้อีกต่อไป หรือมีเหตุผลอื่นที่ทำให้ศาลเห็นว่าควรเปลี่ยนแปลงสิทธิ ศาลสามารถพิจารณาเปลี่ยนแปลงการปกครองบุตรได้ตามคำร้องขอของอีกฝ่าย

  1. สิทธิของพ่อหรือแม่ที่ไม่ได้รับสิทธิในการปกครอง

หากศาลตัดสินให้ฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ปกครอง อีกฝ่ายยังคงมีสิทธิในการ เยี่ยมเยียนและติดต่อกับบุตร เว้นแต่ศาลเห็นว่าการติดต่อดังกล่าวอาจส่งผลเสียต่อเด็ก เช่น หากมีประวัติทำร้ายร่างกายหรือมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม

  1. ข้อควรคำนึงเมื่อมีการแยกทาง

ควรคำนึงถึง ประโยชน์สูงสุดของบุตรเป็นหลัก ไม่ใช่เพียงแค่ความต้องการของพ่อแม่    หากเป็นไปได้ ควรตกลงกันด้วยดีและหาทางออกร่วมกัน เพื่อให้เด็กได้รับความรักและการดูแลที่เหมาะสม   หากเกิดข้อขัดแย้ง ควรใช้กระบวนการทางกฎหมาย เพื่อให้ได้ข้อยุติที่เป็นธรรมสำหรับทุกฝ่าย

 

สิทธิการปกครองบุตรหลังจากพ่อแม่แยกทางกันขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างพ่อแม่หรือคำตัดสินของศาล โดยพิจารณาจากประโยชน์สูงสุดของเด็กเป็นหลัก หากมีข้อพิพาท ควรปรึกษาทนายความหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางออกที่เหมาะสม

——————————————————————————————————————————————————————————

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

📱โทร : 02-1217414 ,091-0473382      📍Line : https://page.line.me/379vfaui

📍พิกัด : ถ.บางนาตราด (ใกล้ห้างเมกะบางนา)

เปิดให้บริการ [ จันทร์-ศุกร์ ] เวลา 09:00-17:00 น.

กฎหมายหน้ารู้

โดนฟ้องให้จ่ายค่าส่วนต่างเช่าซื้อรถยนต์ ควรทำอย่างไร?

หากคุณถูกฟ้องให้จ่ายค่าส่วนต่างจากไฟแนนซ์หลังจากรถถูกยึด สิ่งสำคัญคืออย่าตกใจหรือเพิกเฉย เพราะอาจทำให้เกิดปัญหาทางกฎหมายที่รุนแรงขึ้น เรามาดูกันว่าควรทำอย่างไรเมื่อได้รับหมายศาลเกี่ยวกับเรื่องนี้

  1. ตรวจสอบเอกสารการฟ้อง

เมื่อได้รับหมายศาล คุณควรรีบตรวจสอบรายละเอียดดังต่อไปนี้

  • ชื่อของโจทก์ (ไฟแนนซ์) และจำเลย (คุณ) ถูกต้องหรือไม่
  • ยอดเงินที่ถูกฟ้อง ตรงกับสัญญาหรือไม่
  • รายละเอียดการขายทอดตลาด เช่น ราคาขายและค่าธรรมเนียมที่หักออก

หากพบข้อผิดพลาด ควรรวบรวมหลักฐานและเตรียมคัดค้านในศาล

  1. ตัดสินใจแนวทางการรับมือ

เมื่อถูกฟ้อง คุณมีทางเลือกหลัก ๆ ดังนี้

2.1 เจรจากับไฟแนนซ์

  • ติดต่อไฟแนนซ์เพื่อขอเจรจาไกล่เกลี่ย
  • ขอปรับโครงสร้างหนี้หรือขอผ่อนชำระใหม่
  • หากตกลงกันได้ อาจทำข้อตกลงใหม่เพื่อลดภาระหนี้

2.2 สู้คดีในศาล

หากเห็นว่าการคำนวณยอดหนี้ไม่ถูกต้อง หรือมีข้อผิดพลาดเกี่ยวกับการขายทอดตลาด คุณสามารถยื่นคัดค้านได้ เช่น

  • ขอให้ศาลตรวจสอบว่าการขายทอดตลาดเป็นไปอย่างถูกต้องและได้ราคาที่เหมาะสมหรือไม่
  • หากมีข้อสงสัยว่าไฟแนนซ์ขายรถต่ำกว่าราคาตลาด อาจขอให้ศาลตรวจสอบการประเมินราคา

2.3 ไม่ทำอะไรเลย (ไม่แนะนำ)

หากคุณไม่ไปศาล ศาลอาจตัดสินให้คุณแพ้คดีโดยปริยาย และไฟแนนซ์สามารถใช้คำพิพากษาบังคับคดี เช่น อายัดเงินเดือน หรือยึดทรัพย์สิน

  1. ขอคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญ

หากคุณไม่แน่ใจว่าจะดำเนินการอย่างไร ควรขอคำปรึกษาจาก

  • ทนายความ เพื่อช่วยตรวจสอบสัญญาและเตรียมเอกสารคัดค้าน
  • หน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภค ที่สามารถให้คำแนะนำด้านกฎหมาย
  1. ป้องกันปัญหาในอนาคต
  • ก่อนทำสัญญาเช่าซื้อ ควรศึกษารายละเอียดให้ดี
  • หากมีปัญหาทางการเงิน ควรแจ้งไฟแนนซ์ล่วงหน้าเพื่อหาทางแก้ไข
  • พยายามชำระหนี้ให้ตรงเวลาเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกฟ้องร้อง

หากถูกฟ้องเรียกค่าส่วนต่างเช่าซื้อรถยนต์ อย่าตกใจและอย่าละเลยหมายศาล ควรตรวจสอบยอดหนี้ เจรจากับไฟแนนซ์ หรือเตรียมสู้คดีตามความเหมาะสม หากไม่มั่นใจ ควรขอคำปรึกษาทางกฎหมายเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม แจ้งมาได้เลยครับ!

—————————————————————————————————————————————————————————

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

📱โทร : 02-1217414 ,091-0473382      📍Line : https://page.line.me/379vfaui

📍พิกัด : ถ.บางนาตราด (ใกล้ห้างเมกะบางนา)

เปิดให้บริการ [ จันทร์-ศุกร์ ] เวลา 09:00-17:00 น.

กฎหมายหน้ารู้