การทำสัญญารับสภาพหนี้

 การรับสภาพหนี้ หมายถึง การที่ลูกหนี้หรือบุคคลใดบุคคลหนึ่งยอมรับว่าเป็นหนี้ของเจ้าหนี้ตามจำนวนและเงื่อนไขที่ตกลงกัน ซึ่งอาจเป็นการยอมรับหนี้เดิมที่เคยมีอยู่ หรือหนี้ที่เป็นข้อพิพาทกันมาก่อน โดยมีการจัดทำเป็นหนังสือสัญญาอย่างเป็นทางการ เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการบังคับตามกฎหมายได้

ลักษณะสำคัญของสัญญารับสภาพหนี้

  1. เป็นหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษร เพื่อความชัดเจนและสามารถใช้เป็นหลักฐานได้ตามกฎหมาย
  2. มีการระบุจำนวนหนี้ และรายละเอียดของหนี้อย่างชัดเจน เช่น วันที่เกิดหนี้ ดอกเบี้ย การชำระหนี้ ฯลฯ
  3. มีเจตนาในการชำระหนี้ ลูกหนี้ต้องแสดงเจตนาอย่างแน่นอนว่าตนยอมรับภาระหนี้นั้น
  4. มีผลทางกฎหมาย เมื่อลูกหนี้ลงนามรับสภาพหนี้แล้ว เจ้าหนี้สามารถยื่นฟ้องศาลเพื่อบังคับคดีได้ตามสัญญานั้น

วัตถุประสงค์ของการรับสภาพหนี้

  • เพื่อยืนยันความเป็นหนี้ของลูกหนี้
  • เพื่อป้องกันการปฏิเสธความรับผิดในอนาคต
  • เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดี
  • เพื่อเป็นแนวทางในการเจรจาประนอมหนี้หรือขยายระยะเวลาชำระหนี้

ข้อควรระวังในการทำสัญญารับสภาพหนี้

  • ควรระบุรายละเอียดให้ชัดเจน ครบถ้วน เช่น ชื่อผู้เกี่ยวข้อง จำนวนหนี้ วันครบกำหนด
  • ควรตรวจสอบเอกสารต้นฉบับ เช่น สัญญากู้ยืมเดิม ใบเสร็จรับเงิน ฯลฯ
  • ควรมีพยานในการลงนาม หรือให้ทนายความเป็นผู้ร่างสัญญา
  • หากมีข้อสงสัยในข้อกฎหมาย ควรปรึกษาทนายความก่อนลงนาม

 

สัญญารับสภาพหนี้เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้อย่างชัดเจน มีผลทางกฎหมายที่สามารถนำไปใช้ฟ้องร้องหรือบังคับคดีได้ ดังนั้นการทำสัญญารับสภาพหนี้ควรดำเนินการอย่างรอบคอบ เพื่อให้สิทธิของทั้งสองฝ่ายได้รับการคุ้มครองอย่างเหมาะสม

———————————————————————————————————

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

โทร : 02-1217414 ,091-0473382      Line : https://page.line.me/379 vfaui

พิกัด : ถ.บางนาตราด (ใกล้ห้างเมกะบางนา)

เปิดให้บริการ [ จันทร์-ศุกร์ ] เวลา 09:00-17:00 น.

กฎหมายหน้ารู้

การซื้อทรัพย์จาก กรมบังคับคดี ในราคาต่ำกว่าไฟแนนซ์เดิม

        การซื้อทรัพย์จาก กรมบังคับคดี ในราคาต่ำกว่าไฟแนนซ์เดิมเป็นเรื่องที่สามารถเกิดขึ้นได้จริงในบางกรณี โดยเฉพาะเมื่อตลาดประมูลมีการแข่งขันน้อย หรือทรัพย์นั้นมีเงื่อนไขพิเศษบางอย่าง ซึ่งข้อควรรู้และสิ่งที่ควรระวังมีดังนี้:

  1. เข้าใจขั้นตอนของกรมบังคับคดี ทรัพย์จะถูกขายผ่านการประมูล ซึ่งใครให้ราคาสูงสุดก็จะได้ไป    ราคาประเมินของกรมบังคับคดีอาจต่ำกว่าราคาตลาด และหากไม่มีผู้ร่วมประมูลมาก ราคาก็อาจจะถูกลงเรื่อย ๆ ตามรอบ  บางกรณีทรัพย์อาจขายทอดตลาดไม่หมดในหลายรอบ ทำให้ราคาลดลงได้มาก
  2. ไฟแนนซ์เดิมคืออะไร “ไฟแนนซ์เดิม” หมายถึงยอดหนี้สินที่เจ้าของเดิมกู้ไว้กับสถาบันการเงิน   ในบางครั้งยอดหนี้ที่ค้างอยู่ (รวมดอกเบี้ย) อาจสูงกว่าราคาทรัพย์ในตลาด   กรมบังคับคดีไม่สนใจยอดหนี้เดิม แต่จะขายตามกระบวนการประมูล
  3. กรณีที่ซื้อได้ถูกกว่าไฟแนนซ์เดิม หากเจ้าของเดิมกู้ในราคาสูงเกินมูลค่าทรัพย์ หรือมีการผิดนัดชำระหนี้มานาน ดอกเบี้ยพอกพูน   ผู้ซื้อที่ประมูลได้ไม่ต้องรับผิดชอบยอดหนี้เดิม (หากทรัพย์เป็นอสังหาริมทรัพย์ เช่น บ้านหรือที่ดิน)
  4. ข้อควรระวัง

–  ตรวจสอบทรัพย์ก่อน: บางทรัพย์มีคนอยู่ หรือมีข้อพิพาท

–  ค่าธรรมเนียม/ค่าใช้จ่ายหลังประมูล เช่น ค่าโอน ภาษี และค่ารื้อถอน (หากมีสิ่งปลูกสร้างที่ต้องรื้อ)

  1. เคล็ดลับ

–  เลือกทรัพย์ที่ไม่มีผู้อยู่อาศัย หรือไม่มีปัญหากฎหมาย

– ตรวจสอบทรัพย์หลายรอบก่อนวันประมูลจริง

– หากเป็นมือใหม่ แนะนำให้ใช้บริการของผู้เชี่ยวชาญ หรือพาเพื่อนไปด้วย

————————————————————————————————————————

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

โทร : 02-1217414 ,091-0473382      Line : https://page.line.me/379vfaui

พิกัด : ถ.บางนาตราด (ใกล้ห้างเมกะบางนา)

เปิดให้บริการ [ จันทร์-ศุกร์ ] เวลา 09:00-17:00 น.

กฎหมายหน้ารู้

การเจรจาหนี้ในขั้นบังคับคดี

        การเจรจาหนี้ในขั้นบังคับคดี คือกระบวนการที่ลูกหนี้เจรจากับเจ้าหนี้เพื่อหาทางตกลงชำระหนี้ แม้จะมีคำพิพากษาแล้วและอยู่ในขั้นตอนที่เจ้าหนี้สามารถบังคับคดีได้ เช่น ยึดทรัพย์หรืออายัดเงินเดือน ซึ่งขั้นตอนการเจรจามักเป็นไปตามนี้:

ขั้นตอนการเจรจาหนี้ชั้นบังคับคดี

  1. ตรวจสอบสถานะคดี

– ตรวจสอบว่าคดีถึงชั้นบังคับคดีแล้วหรือยัง

– ตรวจสอบหมายเลขคดีและรายละเอียด เช่น ยอดหนี้ ดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ผ่านเว็บไซต์ของกรมบังคับคดี

  1. ติดต่อเจ้าหน้าที่กรมบังคับคดี

– ไปที่สำนักงานบังคับคดีที่รับผิดชอบ

– นำเอกสาร เช่น บัตรประชาชน หมายศาล คำพิพากษา หรือหนังสือแจ้งหนี้

  1. ยื่นคำร้องขอเจรจาไกล่เกลี่ย

– กรอกแบบฟอร์มขอเจรจาหนี้

– ระบุข้อเสนอ เช่น ขอผ่อนชำระ ลดดอกเบี้ย หรือขอเลื่อนการบังคับคดี

  1. เจ้าหน้าที่จัดการนัดหมายไกล่เกลี่ย

– มีการนัดไกล่เกลี่ยระหว่างลูกหนี้และเจ้าหนี้

– หากตกลงกันได้ จะมีการลงบันทึกข้อตกลง

  1. ดำเนินการตามข้อตกลง

– ลูกหนี้ต้องปฏิบัติตามข้อตกลง เช่น ชำระเงินตามงวด

– หากผิดนัดอีก เจ้าหนี้สามารถดำเนินการบังคับคดีต่อได้

  1. หากตกลงกันไม่ได้

– เจ้าหนี้อาจดำเนินการยึดทรัพย์ อายัดเงินเดือน หรือทรัพย์สินอื่นตามกฎหมาย

————————————————————————————————————————-

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

โทร : 02-1217414 ,091-0473382      Line : https://page.line.me/379vfaui

พิกัด : ถ.บางนาตราด (ใกล้ห้างเมกะบางนา)

เปิดให้บริการ [ จันทร์-ศุกร์ ] เวลา 09:00-17:00 น.

กฎหมายหน้ารู้

ผู้จัดการมรดก

ผู้จัดการมรดก คือ บุคคลที่ได้รับการแต่งตั้งจากศาล หรือจากพินัยกรรมของผู้ตาย เพื่อทำหน้าที่จัดการทรัพย์สินของผู้ตายให้เสร็จสิ้นก่อนแบ่งให้ทายาท เช่น การชำระหนี้ จัดเก็บทรัพย์สิน ขายทรัพย์บางส่วนเพื่อชำระภาระ และจัดแบ่งมรดกให้ถูกต้องตามกฎหมาย

การแต่งตั้งผู้จัดการมรดก

  1. แต่งตั้งผ่านพินัยกรรม หากผู้ตายได้ทำพินัยกรรมไว้ และระบุชื่อผู้จัดการมรดก ศาลจะพิจารณาตามความประสงค์นั้น
  2. แต่งตั้งโดยศาล หากไม่มีพินัยกรรม ทายาทสามารถยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอแต่งตั้งผู้จัดการมรดก โดยศาลจะพิจารณาว่าใครเหมาะสม เช่น คู่สมรส บุตร หรือญาติใกล้ชิด

หน้าที่ของผู้จัดการมรดก

  • จัดทำบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ตาย
  • จัดการทรัพย์สิน เช่น เก็บรักษา ขายทรัพย์บางรายการ (ถ้าจำเป็น)
  • ชำระหนี้สินของผู้ตาย
  • จัดสรรทรัพย์สินตามพินัยกรรมหรือกฎหมาย
  • จัดทำบัญชีแสดงการจัดการเสนอต่อศาล
  • ส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ทายาทหรือผู้มีสิทธิ

คุณสมบัติของผู้จัดการมรดก

  • บรรลุนิติภาวะ (อายุ 20 ปีขึ้นไป)
  • ไม่เป็นบุคคลล้มละลาย หรือไร้ความสามารถทางกฎหมาย
  • มีความซื่อสัตย์สุจริต และสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างรอบคอบ

ความสำคัญของผู้จัดการมรดก

การมีผู้จัดการมรดกที่มีประสิทธิภาพ ช่วยลดปัญหาความขัดแย้งในครอบครัว ทำให้กระบวนการจัดการมรดกเป็นไปตามกฎหมายและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย อีกทั้งยังสามารถป้องกันการยักยอกหรือสูญหายของทรัพย์สินได้อีกด้วย

 

“ผู้จัดการมรดก” คือฟันเฟืองสำคัญในการบริหารและแบ่งปันทรัพย์สินของผู้ตายให้เป็นไปอย่างถูกต้อง การเลือกผู้จัดการมรดกที่เหมาะสม หรือทำพินัยกรรมกำหนดไว้ล่วงหน้า จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะเมื่อทรัพย์สินมีจำนวนมาก หรือมีทายาทหลายฝ่าย

 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

โทร : 02-1217414 ,091-0473382      Line : https://page.line.me/379vfaui

พิกัด : ถ.บางนาตราด (ใกล้ห้างเมกะบางนา)

เปิดให้บริการ [ จันทร์-ศุกร์ ] เวลา 09:00-17:00 น.

กฎหมายหน้ารู้

ผิดสัญญาหุ้นส่วน

    การผิดสัญญาหุ้นส่วนหมายถึงกรณีที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงที่ระบุไว้ในสัญญาหุ้นส่วน ส่งผลให้เกิดความเสียหายแก่หุ้นส่วนอีกฝ่ายหรือกิจการที่ร่วมลงทุนกัน โดยอาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนา

สาเหตุของการผิดสัญญาหุ้นส่วน

  1.  ไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดในสัญญา – หุ้นส่วนฝ่ายหนึ่งอาจละเลยหรือจงใจไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ เช่น ไม่ลงทุนตามกำหนดหรือไม่แบ่งปันผลกำไรตามสัดส่วนที่ตกลงกันไว้
  2. ความขัดแย้งทางผลประโยชน์ – หุ้นส่วนอาจมีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือดำเนินธุรกิจที่ขัดกับข้อตกลงในสัญญา
  3. การบริหารงานผิดพลาด – การตัดสินใจที่ไม่รอบคอบหรือการดำเนินกิจการโดยขาดความโปร่งใสอาจส่งผลให้เกิดปัญหาทางการเงินและความไม่ไว้วางใจระหว่างหุ้นส่วน
  4. การละเมิดข้อตกลงด้านความลับทางธุรกิจ – หุ้นส่วนอาจนำข้อมูลที่เป็นความลับไปใช้เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวหรือเปิดเผยต่อบุคคลภายนอก
  5. เหตุสุดวิสัย – ปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ โรคระบาด หรือภัยธรรมชาติ อาจส่งผลให้หุ้นส่วนไม่สามารถปฏิบัติตามข้อตกลงได้

ผลกระทบของการผิดสัญญาหุ้นส่วน

         ความเสียหายทางการเงิน – อาจมีการสูญเสียรายได้ หรือต้องชดใช้ค่าเสียหายตามกฎหมาย

         ความเสียหายต่อความสัมพันธ์ทางธุรกิจ – ทำให้เกิดความขัดแย้งภายในบริษัท ส่งผลต่อชื่อเสียงและความไว้วางใจระหว่างหุ้นส่วน

ผลทางกฎหมาย – อาจถูกฟ้องร้อง หรือถูกบังคับให้ชดใช้ค่าเสียหายตามที่กฎหมายกำหนด

แนวทางแก้ไขและป้องกันการผิดสัญญาหุ้นส่วน

  1. จัดทำสัญญาให้รัดกุม – ควรมีการระบุข้อตกลงที่ชัดเจน ครอบคลุม และสามารถบังคับใช้ทางกฎหมายได้
  2. กำหนดกลไกการไกล่เกลี่ยข้อพิพาท – อาจมีการกำหนดขั้นตอนการไกล่เกลี่ยก่อนที่จะดำเนินคดีทางกฎหมาย
  3. ตรวจสอบความโปร่งใสในการดำเนินธุรกิจ – ควรมีการตรวจสอบบัญชีและการบริหารงานอย่างสม่ำเสมอ
  4. กำหนดบทลงโทษที่ชัดเจน – การระบุค่าปรับหรือมาตรการบังคับหากมีการผิดสัญญาจะช่วยลดความเสี่ยงของปัญหาดังกล่าว
  5. เลือกหุ้นส่วนที่เหมาะสม – ควรพิจารณาคุณสมบัติและความน่าเชื่อถือของหุ้นส่วนก่อนทำสัญญา

          การผิดสัญญาหุ้นส่วนเป็นปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อธุรกิจในระยะยาว ดังนั้น การป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าวจึงเป็นสิ่งสำคัญ การกำหนดข้อตกลงที่ชัดเจน การรักษาความโปร่งใส และการจัดการข้อพิพาทอย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยให้หุ้นส่วนสามารถดำเนินธุรกิจร่วมกันได้อย่างราบรื่นและยั่งยืน

——————————————————————————————————————————–

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

โทร : 02-1217414 ,091-0473382      Line : https://page.line.me/379vfaui

พิกัด : ถ.บางนาตราด (ใกล้ห้างเมกะบางนา)

เปิดให้บริการ [ จันทร์-ศุกร์ ] เวลา 09:00-17:00 น.

กฎหมายหน้ารู้

ผิดสัญญาเงินกู้

1.การผิดสัญญาเงินกู้ หมายถึง กรณีที่ลูกหนี้ไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขของสัญญาได้ เช่น ไม่ชำระหนี้ตามกำหนด ไม่ชำระดอกเบี้ย หรือฝ่าฝืนข้อตกลงอื่นที่กำหนดไว้ในสัญญา การผิดสัญญานี้อาจส่งผลทางกฎหมายและนำไปสู่การดำเนินคดีได้

  1. ผลกระทบของการผิดสัญญาเงินกู้ การผิดสัญญาอาจส่งผลกระทบหลายประการ ได้แก่:

ค่าปรับและดอกเบี้ยผิดนัด: ผู้ให้กู้อาจเรียกเก็บค่าปรับและดอกเบี้ยเพิ่มเติมตามที่ระบุในสัญญา

การฟ้องร้องและบังคับคดี: ผู้ให้กู้สามารถดำเนินการทางกฎหมายเพื่อบังคับให้ลูกหนี้ชำระหนี้ได้

เสียเครดิตและความน่าเชื่อถือ: ลูกหนี้อาจถูกบันทึกประวัติเครดิตเสีย ทำให้ขอกู้เงินในอนาคตได้ยากขึ้น

การยึดทรัพย์หรือหลักประกัน: หากมีการจำนองหรือวางหลักประกันไว้ ผู้ให้กู้อาจใช้สิทธิบังคับขายทรัพย์สินเพื่อชำระหนี้

  1. ข้อกฎหมายเกี่ยวกับการผิดสัญญาเงินกู้

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 กำหนดว่าสัญญากู้ยืมเงินที่มีจำนวนเกิน 2,000 บาท ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือและลงลายมือชื่อ มิฉะนั้นจะไม่สามารถฟ้องร้องบังคับคดีได้

มาตรา 654 กำหนดว่าอัตราดอกเบี้ยต้องไม่เกิน 15% ต่อปี หากสูงกว่านี้ถือเป็นโมฆะ

มาตรา 224 ระบุว่าหากลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยผิดนัดไม่เกิน 7.5% ต่อปี เว้นแต่จะตกลงกันเป็นอย่างอื่น

  1. แนวทางการแก้ไขเมื่อผิดสัญญาเงินกู้ หากลูกหนี้พบว่าตนเองอาจไม่สามารถปฏิบัติตามสัญญาได้ ควรดำเนินการดังนี้:

–  เจรจากับเจ้าหนี้: พยายามขอปรับโครงสร้างหนี้ หรือขอขยายระยะเวลาการชำระ

–  ขอความช่วยเหลือทางกฎหมาย: หากถูกฟ้องร้อง ควรปรึกษาทนายเพื่อหาทางออกที่เหมาะสม

–  หาทางออกทางการเงิน: อาจมองหาแหล่งเงินทุนอื่น เช่น การรีไฟแนนซ์หรือขอสินเชื่อเพื่อปิดหนี้เก่า

–  ปฏิบัติตามแผนชำระหนี้: หากตกลงกับเจ้าหนี้ได้แล้ว ควรทำตามข้อตกลงใหม่อย่างเคร่งครัด

5. การป้องกันปัญหาการผิดสัญญาเงินกู้

– อ่านและทำความเข้าใจสัญญาอย่างละเอียดก่อนลงนาม

– วางแผนการเงินให้รอบคอบเพื่อให้สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด

– หลีกเลี่ยงการกู้ยืมเกินความสามารถในการชำระคืน

– บันทึกการชำระเงินทุกครั้งเพื่อเป็นหลักฐาน

 

การผิดสัญญาเงินกู้เป็นปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้ ดังนั้นการวางแผนและบริหารจัดการหนี้อย่างมีประสิทธิภาพจะช่วยลดความเสี่ยงและหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมายได้

——————————————————————————————————————————————

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

โทร : 02-1217414 ,091-0473382      Line : https://page.line.me/379vfaui

พิกัด : ถ.บางนาตราด (ใกล้ห้างเมกะบางนา)

เปิดให้บริการ [ จันทร์-ศุกร์ ] เวลา 09:00-17:00 น.

กฎหมายหน้ารู้

การขายฝากกระเป๋าแบรนด์เนม

การขายฝากกระเป๋าแบรนด์เนม

กระเป๋าแบรนด์เนม ไม่ใช่แค่เครื่องประดับแฟชั่น แต่ยังถือเป็นสินทรัพย์ที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ หนึ่งในวิธีที่นิยมใช้คือ การขายฝาก ซึ่งช่วยให้เจ้าของกระเป๋าได้รับเงินสดทันที โดยยังสามารถไถ่คืนกระเป๋าได้ภายในระยะเวลาที่กำหนด

การขายฝากกระเป๋าแบรนด์เนมคืออะไร?

การขายฝากเป็นสัญญาที่เจ้าของกระเป๋านำสินทรัพย์ของตนไปเปลี่ยนเป็นเงินสดกับผู้รับซื้อฝาก โดยมีเงื่อนไขว่าสามารถไถ่คืนได้ภายในเวลาที่กำหนด หากพ้นกำหนดโดยไม่มีการไถ่ถอน กระเป๋าจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้รับซื้อฝากทันที

ขายฝากต่างจากจำนำอย่างไร?

ขายฝาก: โอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้รับซื้อฝากชั่วคราว แต่สามารถซื้อคืนได้

จำนำ: เจ้าของยังคงมีกรรมสิทธิ์ในกระเป๋า แต่ใช้เป็นหลักประกันในการกู้เงิน

ข้อดีและข้อเสียของการขายฝากกระเป๋าแบรนด์เนม

✅ ข้อดี

✔ ได้รับเงินสดรวดเร็ว

✔ ไม่ต้องขายขาด ยังมีโอกาสไถ่คืน

✔ ไม่ต้องใช้หลักทรัพย์อื่นค้ำประกัน

❌ ข้อเสีย

❌ หากไม่ไถ่คืนภายในเวลาที่กำหนด จะสูญเสียกระเป๋า

❌ อาจต้องเสียค่าธรรมเนียมหรือดอกเบี้ยเพิ่มเติม

❌ หากเลือกแหล่งรับซื้อฝากที่ไม่น่าเชื่อถือ อาจเกิดปัญหา

 

ขั้นตอนการขายฝากกระเป๋าแบรนด์เนม

  1. เลือกผู้รับซื้อฝากที่น่าเชื่อถือ ตรวจสอบรีวิวและชื่อเสียง ดูว่าสัญญามีความโปร่งใส
  2. ประเมินราคากระเป๋า ยี่ห้อ รุ่น และสภาพกระเป๋ามีผลต่อราคา ควรเปรียบเทียบราคาหลายแหล่ง
  3. ทำสัญญาขายฝาก ระบุราคาขายฝากและระยะเวลาการไถ่คืน ตรวจสอบค่าธรรมเนียมหรือดอกเบี้ย
  4. รับเงินสดและเก็บเอกสารให้ดี หลังทำข้อตกลง ควรเก็บสัญญาไว้เป็นหลักฐาน
  5. ไถ่คืนกระเป๋าตามกำหนด จ่ายเงินคืนให้ครบถ้วนเพื่อรับกระเป๋าคืน

 

ข้อควรระวังก่อนขายฝากกระเป๋าแบรนด์เนม

✔ อ่านและทำความเข้าใจสัญญาก่อนลงนาม

✔ เลือกแหล่งรับซื้อฝากที่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจ

✔ เปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขให้ดี

✔ เก็บเอกสารและหลักฐานธุรกรรมให้ครบถ้วน

 

การขายฝากกระเป๋าแบรนด์เนมเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการเงินสดด่วน แต่ต้องศึกษาเงื่อนไขให้ละเอียดและเลือกแหล่งรับซื้อฝากที่เชื่อถือได้ เพื่อป้องกันการสูญเสียทรัพย์สินโดยไม่จำเป็น

หากคุณกำลังพิจารณาขายฝากกระเป๋า อย่าลืมตรวจสอบเงื่อนไขให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ!

—————————————————————————————————————————————————–

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

📱โทร : 02-1217414 ,091-0473382      📍Line : https://page.line.me/379vfaui

📍พิกัด : ถ.บางนาตราด (ใกล้ห้างเมกะบางนา)

เปิดให้บริการ [ จันทร์-ศุกร์ ] เวลา 09:00-17:00 น.

 

กฎหมายหน้ารู้

การขอปล่อยตัวชั่วคราว

การขอปล่อยตัวชั่วคราว

การขอปล่อยตัวชั่วคราว หรือที่เรียกกันว่า “การประกันตัว” หมายถึง การที่บุคคลที่ถูกควบคุมตัวในระหว่างการพิจารณาคดีได้รับอนุญาตจากศาล หรือเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจให้ปล่อยตัวออกจากการควบคุมเป็นการชั่วคราว ภายใต้เงื่อนไขบางประการ เช่น การวางหลักทรัพย์ การมีผู้ประกัน หรือการกำหนดเงื่อนไขอื่น ๆ เพื่อรับรองว่าผู้ต้องหาจะไม่หลบหนีและจะมาปรากฏตัวตามหมายเรียกของศาล

สิทธิในการขอปล่อยตัวชั่วคราว

ในหลักกฎหมายไทย บุคคลทุกคนมีสิทธิได้รับการสันนิษฐานว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด ดังนั้น ผู้ต้องหา หรือจำเลยในคดีอาญามีสิทธิยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวได้ ซึ่งเป็นสิทธิที่ได้รับการรับรองตาม รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย และ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

ขั้นตอนการขอปล่อยตัวชั่วคราว

  1.    ยื่นคำร้อง – ผู้ต้องหา/จำเลย หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง (เช่น ญาติ หรือทนายความ) สามารถยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวต่อศาล, พนักงานสอบสวน หรือพนักงานอัยการ ขึ้นอยู่กับสถานะของคดี
  2. เสนอหลักประกัน – อาจต้องมีการวางหลักทรัพย์ เช่น เงินสด, โฉนดที่ดิน, หรือหนังสือรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นหลักประกันว่าผู้ต้องหาจะไม่หลบหนี
  3. ศาลพิจารณาคำร้อง – ศาลจะพิจารณาปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความหนักเบาของคดี, ความเสี่ยงในการหลบหนี, พฤติกรรมของผู้ต้องหา และหลักประกันที่เสนอ
  4. คำสั่งศาล – หากศาลอนุญาต ผู้ต้องหาจะได้รับการปล่อยตัวตามเงื่อนไขที่กำหนด แต่หากถูกปฏิเสธ ผู้ต้องหาสามารถยื่นอุทธรณ์คำสั่งได้

 

ปัจจัยที่ศาลใช้พิจารณา

ความร้ายแรงของคดี

พฤติกรรมของผู้ต้องหา (เช่น เคยหลบหนีหรือไม่)

โอกาสที่ผู้ต้องหาจะไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐาน

ความน่าเชื่อถือของหลักประกัน

 

ผลกระทบหากผิดเงื่อนไข

หากผู้ต้องหาหลบหนี หรือฝ่าฝืนเงื่อนไข ศาลอาจมีคำสั่ง ริบหลักประกัน และ ออกหมายจับ รวมถึงการถูกปฏิเสธการปล่อยตัวชั่วคราวในอนาคต

การขอปล่อยตัวชั่วคราวเป็นสิทธิพื้นฐานของผู้ต้องหาและจำเลย แต่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนดเพื่อให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไปได้อย่างเหมาะสม หากศาลเห็นว่าผู้ต้องหามีความเสี่ยงต่อการหลบหนี หรือก่อให้เกิดอันตรายต่อกระบวนการพิจารณาคดี อาจปฏิเสธคำร้อง ดังนั้น การมีที่ปรึกษากฎหมายหรือทนายความที่เชี่ยวชาญสามารถช่วยให้การยื่นคำร้องเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

———————————————————————————————————————————————–

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

📱โทร : 02-1217414 ,091-0473382      📍Line : https://page.line.me/379vfaui

📍พิกัด : ถ.บางนาตราด (ใกล้ห้างเมกะบางนา)

เปิดให้บริการ [ จันทร์-ศุกร์ ] เวลา 09:00-17:00 น.

กฎหมายหน้ารู้

“ดูหมิ่น” และ “หมิ่นประมาท” มีความหมายและผลทางกฎหมายที่แตกต่างกันอย่างไร

“ดูหมิ่น” และ “หมิ่นประมาท” มีความหมายและผลทางกฎหมายที่แตกต่างกัน ดังนี้

  1. ดูหมิ่น หมายถึง การแสดงความดูถูก ดูแคลน หรือสบประมาทบุคคลอื่นไม่จำเป็นต้องเป็นความเท็จ แค่พูดหรือแสดงพฤติกรรมที่เป็นการเหยียดหยามก็เข้าข่าย  ตัวอย่างเช่น ด่าทอ หยาบคาย หรือดูถูกบุคคลอื่นต่อหน้า  ถ้าดูหมิ่นเจ้าพนักงานหรือสถาบันพระมหากษัตริย์ อาจเข้าข่ายความผิดร้ายแรงขึ้น
  2. หมิ่นประมาท หมายถึง การใส่ความบุคคลอื่นต่อบุคคลที่สาม ทำให้ผู้นั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง  มักเกี่ยวข้องกับการพูดหรือเผยแพร่ข้อมูลที่อาจเป็นเท็จหรือทำให้คนอื่นเข้าใจผิด    ตัวอย่างเช่น การโพสต์ข้อความในโซเชียลมีเดียที่ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดเกี่ยวกับบุคคลใดบุคคลหนึ่ง

สรุปความแตกต่าง:

ดูหมิ่น คือ การดูถูกเหยียดหยามโดยตรง

หมิ่นประมาท คือ การใส่ร้ายหรือทำให้บุคคลอื่นเสื่อมเสียชื่อเสียงผ่านบุคคลที่สาม

ทั้งสองกรณีอาจเป็นความผิดทางกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญาของไทย

—————————————————————————————————————————————————–

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

📱โทร : 02-1217414 ,091-0473382      📍Line : https://page.line.me/379vfaui

📍พิกัด : ถ.บางนาตราด (ใกล้ห้างเมกะบางนา)

เปิดให้บริการ [ จันทร์-ศุกร์ ] เวลา 09:00-17:00 น.

กฎหมายหน้ารู้

เมื่อถูกหลอกซื้อ-ขายสินค้า ควรทำอย่างไร?

เมื่อถูกหลอกให้ซื้อสินค้า

ทุกวันนี้ การซื้อขายสินค้าออนไลน์และออฟไลน์มีความสะดวกมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน การหลอกลวงผู้บริโภคก็เพิ่มขึ้นด้วย หลายคนเคยตกเป็นเหยื่อของการถูกหลอกให้ซื้อสินค้าด้วยวิธีการต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้าปลอม สินค้าคุณภาพต่ำ หรือแม้กระทั่งการรับเงินแล้วไม่ส่งสินค้า ในบทความนี้ เราจะมาพูดถึงวิธีรับมือเมื่อโดนหลอก และแนวทางป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ

ลักษณะของการหลอกลวงในการซื้อสินค้า

  1. ขายสินค้าไม่ตรงปก – ผู้ขายโฆษณาสินค้าอย่างดี แต่สินค้าที่ได้รับกลับแตกต่างจากที่โฆษณา
  2. ขายของปลอม – อ้างว่าเป็นของแท้ แต่เมื่อได้รับสินค้ากลับเป็นของเลียนแบบ
  3. ไม่ส่งสินค้า – โอนเงินไปแล้ว แต่ไม่ได้รับสินค้าและติดต่อผู้ขายไม่ได้
  4. บังคับขายสินค้า – หลอกให้สมัครสมาชิกหรือซื้อสินค้าโดยไม่เต็มใจ
  5. เสนอราคาถูกเกินจริง – ใช้ราคาที่ถูกมากเพื่อดึงดูดใจ แต่จริง ๆ แล้วไม่มีสินค้าจริง

เมื่อถูกหลอกในการซื้อ-ขายสินค้า  ควรทำอย่างไร?

  1. รวบรวมหลักฐาน เก็บหลักฐานทุกอย่าง เช่น ข้อความแชท สลิปโอนเงิน รูปสินค้า และรายละเอียดของผู้ขาย
  2. ติดต่อผู้ขาย แจ้งให้ผู้ขายทราบถึงปัญหา และขอคืนเงินหรือเปลี่ยนสินค้า หากผู้ขายไม่นำพา อาจใช้หลักฐานเพื่อดำเนินการทางกฎหมาย
  3. แจ้งความกับตำรวจ หากเป็นการฉ้อโกงที่ชัดเจน ควรไปแจ้งความที่สถานีตำรวจใกล้บ้าน พร้อมนำหลักฐานไปด้วย
  4. ร้องเรียนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) โทร 1166 หรือร้องเรียนผ่านเว็บไซต์

กองบังคับการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) สำหรับกรณีซื้อขายออนไลน์  ธนาคารของคุณ หากเป็นการโอนเงินไปยังบัญชีผู้ขาย อาจขอให้ธนาคารช่วยตรวจสอบ

  1. แจ้งเตือนสาธารณะ โพสต์ในโซเชียลมีเดียหรือเว็บบอร์ดเพื่อเตือนผู้อื่นไม่ให้ตกเป็นเหยื่อรายต่อไป

วิธีป้องกันไม่ให้ถูกหลอก

– ตรวจสอบผู้ขาย ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับร้านค้า ดูรีวิวจากลูกค้าคนอื่นใช้ช่องทางชำระเงินที่ปลอดภัย เช่น การเก็บเงินปลายทาง (COD) หรือใช้แพลตฟอร์มที่มีการคุ้มครองผู้ซื้อ

– อย่าหลงเชื่อโปรโมชั่นที่ดูดีเกินจริง หากสินค้าราคาถูกเกินไป อาจเป็นกลโกง

– ตรวจสอบนโยบายการคืนสินค้า ก่อนตัดสินใจซื้อ ควรอ่านเงื่อนไขให้ละเอียด

– ใช้แพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือ ซื้อสินค้าผ่านเว็บไซต์ที่มีระบบตรวจสอบผู้ขาย

 

การถูกหลอกให้ซื้อสินค้าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่เราสามารถลดความเสี่ยงและป้องกันตนเองได้โดยการตรวจสอบข้อมูลก่อนซื้อ ใช้วิธีชำระเงินที่ปลอดภัย และรู้จักช่องทางร้องเรียนเมื่อเกิดปัญหา หากคุณหรือคนใกล้ตัวเคยถูกหลอก ควรดำเนินการตามขั้นตอนข้างต้นเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมและป้องกันไม่ให้คนอื่นตกเป็นเหยื่ออีก

 

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม

📱โทร : 02-1217414 ,091-0473382      📍Line : https://page.line.me/379vfaui

📍พิกัด : ถ.บางนาตราด (ใกล้ห้างเมกะบางนา)

เปิดให้บริการ [ จันทร์-ศุกร์ ] เวลา 09:00-17:00 น.

กฎหมายหน้ารู้